วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เจาะลึกไวน์จากแคว้นทัสคานี : ก่อนจะมาเป็นแคว้นทัสคานี (Tuscany)

                                ก่อนจะมาเป็นแคว้นทัสคานี (Tuscany)

              ผมเชื่อว่าหลายท่านที่เดินทางไปประเทศอิตาลีคงจะเคยไปเยือนแคว้นทัสคานี (Tuscany) กันมาแล้ว  และคงจะเห็นด้วยกับคำกล่าวอ้างของชาวอิตาเลียนที่ว่าแคว้นนี้เป็นแคว้นที่สวยงามที่สุดในประเทสอิตาลี หรือ  “The Most Beautiful Region in Italy 
              มนต์เสน่ห์ของทัสคานี ไม่ได้มีเฉพาะความเป็นแคว้นที่สวยงามของธรรมชาติอันบริสุทธิ์ แต่ยังมีความโดดเด่นในด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรมที่คนทั้งโลกต้องไปเยือนให้เห็นกับตา รวมถึงมีสุดยอดไวน์อิตาเลียนที่คอไวน์ทั้งโลกยอมรับ
              หากย้อนเวลากลับไปสู่ยุคโบราณ บริเวณที่เป็นทัสคานีทุกวันนี้ เคยเป็นดินแดนที่มีชาวเอทรุสกัน (Etruscans) เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อน            
              นักประวัตศาสตร์รุ่นเก่าๆ ยังมีความขัดแย้งกันเกี่ยวกับต้นกำเนิดของชาวเอทรุสกัน  โดยที่ เฮโรโดตุส (Herodotus) ปราชน์ชาวกรีก (Greeks) เขียนไว้ว่าพวกเขามาจากอาณาจักรไลเดีย (The Kingdom of Lydia) ในคาบสมุทรอนาโตเลีย (Anatolia Peninsula
              ดิโอนีซิอุส (Dionysius) นักการศึกษาชาวโรมันได้เขียนไว้ว่า เป็นกลุ่มชนที่อยู่ในคาบสมุทรอิตาลี (Italian Peninsula) มาดั้งเดิม  ความเห็นที่แตกต่างกันนี้แม้แต่นักประวัติศาสตร์ยุคใหม่ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ 
              แต่ทว่ามีหลักฐานทางโบราณคดีแสดงว่าบรรพบุรุษของพวกเขาอยู่ในยุคหินหรือยุควัฒนธรรมวิลล่าโนวานส์ (Villanovans Cultures) ทำให้เป็นที่สงสัยว่าอาจจะเป็นกลุ่มชนกลุ่มเล็กๆ ที่อพยพมาจากซีกโลกตะวันออกก็เป็นได้


              ชนกลุ่มนี้ได้กระจายกันอยู่ในบริเวณดังกล่าวและสร้างชุมชนของตนเองขึ้นมา 12 ชุมชน ในลักษณะที่เป็นนครรัฐ (City State) ตามแบบอย่างนครรัฐกรีก เรียกว่า โดเดคาโปลิส (Dodecapolis) ชุมชนเหล่านั้น ได้แก่ เมืองคาเอเร่ (Caere) เมืองคิอูสิ (Chiusi) เมืองตาร์ควิเนีย (Tarquinia) เมืองเวอิ (Veii) เมืองออร์เวียโต้ (Orvieto) เมืองเปรูจา (Perugia) เมืองโวลแตร์ร่า (Volterra) เมืองฟิเอโซเล่ (Fiesole) เมืองวุลชิ (Vulci) เมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) เมืองโปปูโลเนีย (Populonia) และเมืองเวตูโลเนีย (Vetulonia)  


              หลายชุมชนของ ชาวเอทรุสกันจะอยู่ตามชายฝั่งทะเลไทเรเนียน (Tyrrhenian Sea) จึงเป็นทำเลที่จะติดต่อค้าขายกับชนชาติต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ท่าเรือทุกแห่งจะมีการป้องกันภัยจากกลุ่มโจรสลัดโดยที่ในรัศมี 16 กิโลเมตรจากแนวชายฝั่งจะมีกองกำลังป้องกันภัยประจำอยู่ และสร้างยุทโธปกรณ์ที่เป็นโลหะขึ้นมาใช้              


              ในศตวรรษที่ 7-6 ก่อนคริสตกาล ชาวเอทรุสกัน มีอำนาจทั้งทางทะเลและทางบก และมีอำนาจเหนือกรุงโรม (Rome) นานกว่า 100 ปี
              การที่มีความเข้มแข็งทางทะเลนี่เองทำให้ชาวเอทรุสกันเป็นพันธมิตรกับชาวฟินิเชียน (Phoenicians) และส่งผลถึงการมีอิทธิพลจากบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำโป (Po Valley) ลงไปถึงบริเวณแคว้นคัมปาเนีย (Campania)
              ความยิ่งใหญ่ของชาวเอทรุสกัน ถูกเฝ้ามองจากกลุ่มชนชาวกรีก (Greeks) ที่อยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรอิตาลี (Italian Peninsula) มาโดยตลอด  กลุ่มชนชาวกรีก (Greeks)  พยายามที่จะสกัดกั้นอิทธิพลของชาวเอทรัสกัน (Etruscans) มิให้แผ่ขยายลงไปทางตอนใต้  ในระหว่างปีที่ 524-474 ก่อนคริสตกาล ก็มีสงครามระหว่างชนทั้งสองกลุ่ม และชาวกรีก (Greeks) ก็รักษาอาณานิคมของตนเองไว้ได้
              นอกจากชาวกรีกที่ทำตนเป็นศัตรูแล้ว ก็ยังมีชาวกอล (Gauls) ที่อยู่ทางตอนเหนือของคาบสมุทรอิตาลี (Italian Peninsula) ที่คอยหาโอกาสเข้ามามีอิทธิพลในบริเวณเอทรูเรีย รวมถึงชาวโรมันในกรุงโรมที่พยายามจะปกครองตนเอง
              ความตกต่ำของชาวเอทรุสกัน เห็นได้อย่างชัดเจนระหว่างปีที่ 412-80 ก่อนคริสตกาล โดยถูกชาวกอล (Gauls) และชาวโรมัน ใช้กำลังทหารเข้าทำลายล้างนครรัฐต่างๆ หลังจากนั้นวัฒนธรรมของชาวเอทรัสกัน (Etruscans) ก็เลือนหายไป ยังคงหลงเหลือไว้เพียงชาวเอทรุสกัน (Etruscans) บางส่วนที่กลายเป็นพลเมืองโรมัน 
              หลังจากนั้นสาธารณรัฐโรมัน (Roman Republic) ได้มีอำนาจเหนือดินแดนเอทรูเรีย (Etruria)  และรวบรวมนครรัฐต่างๆ ให้เหลือเพียง 7 แคว้น เข้ามาอยู่ในอาณัติ
              สาธารณรัฐโรมัน (Roman Republic) ได้นำเอาสิ่งที่ชาวเอทรุสกัน (Etruscans) ได้สร้างสรรไว้มาใช้ประโยชน์อย่างเช่น การนำเอาโลหะมาแปรรูปเป็นเครื่องใช้และอาวุธ การสร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันศัตรูที่มารุกราน รวมถึงวิถีการดำเนินชีวิต
              เอทรูเรีย ในความปกครองของสาธารณรัฐโรมัน (Roman Republic) มีความเจริญและมีอำนาจมาก  แต่ในที่สุดก็ถูกพวกอนารยชน (Barbarians) รุกรานและเข้าครอบครอง
              ในศตวรรษที่12 และ 13 สาธารณรัฐปิซ่า (The Republic of Pisa) เข้ามาครอบครองเอทรูเรีย ที่ซึ่งถูกเรียกกันว่า ทัสคานี   แต่ต่อมาในศตวรรษที่ 15 เอทรูเรียตกอยู่กับสาธารณรัฐฟลอเรนซ์ (The Republic of Florence) ซึ่งขณะนั้นอยู่ในปกครองของตระกูลเมดิชิ (Medici family)
              ตระกูลเมดิชิ (Medici family) ได้ทำการปฏิรูปสาธารณรัฐฟลอเรนซ์ (The Republic of Florence) ให้มีความสำคัญและเป็นศูนย์กลางทางศิลปะและวัฒนธรรมของแคว้นทัสคานี (Tuscany) และคาบสมุทรอิตาลี (Italian Peninsula)  นับว่าช่วงเวลานั้นเป็นยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะและวัฒนธรรมของทวีปยุโรป ซึ่งทำให้โลกได้รู้จักศิลปิน 2 คน คือ มิเคลันเจโล บัวนาร๊อตติ (Michelangelo Buonarotti) และ เลโอนาร์โด ดา วินชิ (Leonardo da Vinci)
              ในยุคต่อมาก็มีศิลปินอีกหลายๆ สาขาที่ใช้สาธารณรัฐฟลอเรนซ์ (The Republic of Florence) เป็นเวทีแสดงผลงาน เช่น ดันเต้ (Dante) ผู้เป็นกวีเอกที่มีชื่อเสียง หรือ จ๊อตโต้ (Giotto) นักประติมากรรมผู้สร้างหอระฆัง คัมปานิลเล่ ดิ จ๊อตโต้ (Campanille di Giotto) หรือกาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei) นักวิทยาศาสตร์เอกที่ทั่วโลกรู้จัก             
              ในปีค..1737  จานกาสโตเน่ เด เมดิชิ (Giangastone de' Medici) เป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูลเมดิชิ (Medici family) ได้โอนอำนาจการปกครองสาธารณรัฐฟลอเรนซ์ (The Republic of Florence) ให้กับตระกูลลอเรน่า (Lorena family) ซึ่งได้สานต่อนโยบายของตระกูลเมดิชิ (Medici family) เรื่อยมา จนกระทั่งในปลายศตวรรษที่ 18  ได้ถูกจักรพรรดิ์นโปเลียนผนวกเข้าไว้กับจักรวรรดิ์ฝรั่งเศส   
              แต่ในที่สุด ทัสคานี ได้รวมเข้าไปอยู่ในปกครองของสาธารณรัฐอิตาลี (The Italian Republic) เมื่อปีค..1860  และ ฟลอเรนซ์ ถูกยกขึ้นเป็นเมืองหลวงของแคว้นทัสคานี (Tuscany) ในปีค..1865
              ในปัจจุบันฟลอเรนซ์ มีเมืองบริวารอีก 9 เมือง ได้แก่ เมืองซิเอน่า (Siena) เมืองปิสโตย่า (Pistoia) เมืองลุคค่า (Lucca) เมืองปราโต้ (Prato) เมืองกรอซเซโต้ (Grosseto) เมืองมาสซ่า-คาร์ราร่า (Massa- Carrara) เมืองปิซ่า (Pisa) และ เมืองลิวอร์โน่ (Livorno)
              
              แคว้นทัสคานี (Tuscany) ในเชิงภูมิศาสตร์
              แคว้นทัสคานี มีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า ตอสกาน่า (Toscana)  เป็นแคว้นที่อยู่ในภาคกลางฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอิตาลี (Italian Peninsula)  มีพื้นที่ประมาณ 22,993 ตารางกิโลเมตร  มีประชากร 3,749,074 คน (ค.ศ.2010)  พื้นที่เกือบทั้งหมดของแคว้นเป็นเนินเขาสลับกับที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ มีป่าสนและมีป่าไม้ที่เขียวชอุ่มตลอดปี มีทะเลสาบน้ำจืด มีเกาะเล็กเกาะน้อยที่สวยงาม
              ทิศเหนือมีอาณาเขตติดต่อกับแคว้นเอมิเลีย-โรมานญ่า (Emilia-Romagna) และแคว้นลิกูเรีย (Liguria) ทิศใต้ติดต่อกับแคว้นลาซิโอ (Lazio) และทะเลไทเรเนียน (Tyrrhenian Sea) ทิศตะวันออกติดต่อกับแคว้นอุมเบรีย (Umbria) และแคว้นมาร์เค่ (Marche) ทิศตะวันตกหันหน้าออกสู่ทะเลลิกูเรียน (Ligurian Sea)
              เมืองต่างๆ ในแคว้นทัสคานี (Tuscany) มีความงดงามเฉพาะตัวอย่างน่าทึ่ง เช่น เมืองปิสโตย่า (Pistoia) ที่ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำอาร์โน (Arno River) และเนินเขามอนเต้ อัลบาโน่ (Monte Albano) มีความสวยงามแบบชาวทัสกัน (Tuscans)
 
              หรือเมืองลุคค่า (Lucca) เมืองเล็กๆ ที่เก่าแก่ซึ่งนักประวัติศาสตร์เชื่อว่ามีมนุษย์มาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ยุคพาเลโอลิธิค (Palaeolithic) เป็นเมืองที่ยังคงอนุรักษ์กำแพงเมืองโบราณที่ทำด้วยอิฐสีแดงเอาไว้ได้อย่างดี หรือ เมืองมาสซ่า-คาร์ราร่า (Massa-Carrara) ที่มีทะเลอันงดงามและมีแหล่งหินอ่อนที่ดีที่สุดในประเทศอิตาลีอยู่ที่ตำบลคาร์ราร่า (Comune di Carrara)  หรือ เมืองกรอซเซโต้ (Grosseto) ที่มีเกาะเล็กๆ อยู่มากมาย มีน้ำทะเลเป็นสีครามที่ยังไร้มลภาวะ หรือ เมืองปิซ่า (Pisa) เมืองแห่งหอเอน (the leaning tower) ที่คนทั้งโลกรู้จัก  อาคารบ้านเรือนตามเมืองเหล่านี้จะมีสีหลังคาเป็นสี earth tone เหมือนกันทั้งหมด  สภาพภูมิอากาศไม่หนาวมากนัก อากาศจะร้อนและมีความชื้นต่ำในหน้าร้อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น