ไวน์ดอน อันโตนิโอ (Don Antonio)
ไวน์ดอน อันโตนิโอ (Don Antonio) จากบริษัท มอร์กานเต้ (Morgante) ผู้ผลิตไวน์ขนาดกลางในตำบลกร๊อตเต้ (Comune di Grotte) ชุมชนชนบทขนาดเล็กแห่งเมืองอากริเจนโต้ (Agrigento) แคว้นซิซิลี (Sicily)
ตำนานของไวน์ดอน อันโตนิโอ (Don Antonio) เริ่มขึ้นเมื่อนายอันโตนิโอ มอร์กานเต้ (Antonio Morgante) ก่อตั้งไวเนอรีแห่งนี้ในปีค.ศ.1994 บนพื้นที่ 200 เฮ็คต้าร์ ซึ่งมีต้นองุ่นเก่าแก่ที่ปลูกมาตั้งแต่ปีค.ศ.1970
ไวน์ระดับครู (crus) ของผู้ผลิตรายนี้ ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1998 โดยมีนายริคคาร์โด้ โกตาเรลล่า (Riccardo Cotarella) เป็นที่ปรึกษาด้านการผลิต ซึ่งจะผลิตเพียงปีละ 35,000 ขวด เท่านั้น
หลังจากที่เก็บไว้ในตู้ไวน์ (wine cellar) มานาน 3 วัน ก็ได้ฤกษ์ของการ tasting ตามที่ตั้งใจไว้ เนื่องจากครั้งสุดท้ายที่ดื่มไวน์ตัวนี้ก็เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เป็นไวน์จากวินเทจ 2003
ไวน์ดอน อันโตนิโอ (Don Antonio) วินเทจ 2007 ใช้องุ่นเนโร ดาโวล่า (Nero d’Avola) 100 เปอร์เซ็นต์ จากต้นองุ่นที่มีอายุมากกว่า 30 ปี เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 12 เดือน และเก็บบ่มในขวด 8 เดือน ก่อนออกสู่ตลาด
ไวน์ถูกรินลงแก้วในทันทีที่เปิดขวด ไวน์มีสีแดงเข้มออกดำซึ่งดูไม่ต่างไปจากออสเตรเลียนไวน์ที่ทำจากองุ่นพันธุ์ชิราส (Shiraz) เท่าใดนัก กลิ่นหอมหวานของลูกพรุนกรายมาเข้าจมูกบ่งบอกถึงองุ่นที่สุกจัด คลุกเคล้ามากับกลิ่นลูกเชอร์รีแดง เมื่อแกว่งแก้วแต่เพียงเบาๆ ก็มีกลิ่นแป้งฝุ่นแทรกเข้ามา และน้ำไวน์ข้างแก้วไหลลงอย่างช้าๆ
ผมปล่อยให้เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงตามคำแนะนำจากผู้นำเข้า เมื่อดมจะมีกลิ่นหอมหวานของชะเอมแทรกเข้ามา จากนั้นก็เริ่มใส่ไวน์เข้าไปในกระพุงแก้ม รู้สึกได้ถึงแทนนินหนาเตอะ และกระพุ้งแก้มร้อนผ่าวด้วยความเร้าร้อนขององุ่นเนโร ดาโวล่า (Nero d’Avola) จากดินแดนภูเขาไฟ
ต่อเมื่อเวลาผ่านไป 45 นาที แทนนินบางลง เริ่มมีกลิ่นแป้งฝุ่น และกลิ่นไหม้คล้ายกลิ่นกระบอกข้าวหลามหนองมน ซึ่งเป็นความซับซ้อน (complexity) อย่างเหลือเชื่อ
เมื่อเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง ไวน์เริ่มปรับสมดุลได้ และเมื่อเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมงครึ่ง ไวน์มีความสมดุลดีมาก แทรกมาด้วยกลิ่นหอมหวานของชะเอม และโกโก้ อ๊าฟเตอร์เทสต์เนิ่นนานอ้อยอิ่ง
เมื่อเวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง ก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงในทางลบ
2 ชั่วโมงครึ่งผ่านไป ไวน์ยังมีความสมดุลดีอยู่
3 ชั่วโมงผ่านไป ไวน์เริ่มเดินสะเปะสะปะไม่มีทิศทาง
และสูงสุดคืนสู่สามัญเมื่อเวลาผ่านไป 3 ชั่วโมงครึ่ง ไวน์ย้อนกลับไปเหมือนกับตอนที่เพิ่งเปิดขวด แต่มีแอซิดมากขึ้นเล็กน้อย
ซึ่งได้ถือว่าระหว่างเวลา 1 ชั่วโมงครึ่งถึง 2 ชั่วโมง จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของไวน์ตัวนี้
ควรดื่มกับอาหารจานหลักอย่างเนื้อสันในย่างพอสุกที่ยังพอเห็นเนื้อสีชมพู และชีสแข็งหั่นเป็นก้อนลูกเต๋า
และเนื่องจากกลิ่นหอมหวลกำจาย ผมจึงขอแนะนำแก้วไวน์รุ่นวินัม ซีร่าห์ (Vinum Syrah) รุ่นไวน์ ซีร่าห์ (Wine Syrah) หรือ รุ่นวิติส ซีร่าห์ (Vitis Syrah) ของ รีเดล (Riedel) หากหาไม่ได้ก็ใช้ แก้วไวน์รุ่นดิว่า (Diva) ของ ช๊อตต์ ซวีเซล (Schott Zwiesel) ก็พอได้ ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น