บริษัท มาร์เคสิ แอล.แอนด์ พี.อันติโนริ (Marchesi L&P Antinori) ครอบครองพื้นที่มากกว่า 1,700 เฮ็คต้าร์ ดำเนินกิจการเกี่ยวกับไวน์มาตั้งแต่ปีค.ศ.1385 โดยบุคคลในตระกูลได้สืบทอดกิจการมาจนถึงทุกวันนี้ นานกว่า 600 ปี รวม 26 ชั่วอายุคน (generations) ในปัจจุบันมีกิจการไวน์ในแคว้นทัสคานี (Tuscany) แคว้นอุมเบรีย (Umbria) แคว้นปิเอมอนเต้ (Piemonte) แคว้นปูเลีย (Puglia) และแคว้นลอมบาร์ดี (Lombardy) รวมถึงการลงทุนทำกิจการไวน์ในต่างประเทศอีกหลายแห่ง โดยอยู่ในความรับผิดชอบของ มาร์เคเซ่ ปิเอโร่ อันติโนริ (Marchese Piero Antinori) ตั้งแต่ปีค.ศ.1966
“มาร์เคเซ่ อันติโนริ” เป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ได้นำเอานวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ในไร่ปลูกองุ่นและในโรงผลิตไวน์ เช่น การเก็บเกี่ยวองุ่นขาวก่อนกำหนด การใช้ถังเหล็กไร้สนิมขนาดใหญ่ (stainless steel tank) ที่มีการควบคุมอุณหภูมิสำหรับการหมักไวน์ fermenting) การหมักไวน์ขาวในขวดที่ผ่านการฆ่าเชื้อโรค รวมถึงการพยายามทำการทดลองทำไวน์แดงให้นุ่มนวลด้วยการเก็บหมักไวน์แบบมาโลแลคติค เฟอร์เมนเตชั่น (malolactic fermentation)
ด้วยความมุ่งมั่นในความคิดที่จะทำในสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิม “มาร์เคเซ่ อันติโนริ” จึงวางแผนทำแดงฉลากใหม่ใช้องุ่นที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศ (International grapes)
จากจุดเริ่มต้นของ “ไวน์ตินยาเนลโล่” ในปีค.ศ.1971 แต่ในอีก 3 วินเทจต่อมาไม่มีการผลิต เนื่องจากองุ่นจากไร่ตินยาเนลโล่ (Tignanello Vineyard) มีไม่เพียงพอ และมีการผลิตอีกครั้งในวินเทจ 1975 ในช่วงแรกที่ทำการผลิตถูกจัดเป็นไวน์เกรดวิโน่ ดา ตาโวล่า เดลเล่ ตอสกาน่า (Vino da Tavola delle Toscana) ได้รับการยกระดับขึ้นเป็นไวน์ในเกรดไวน์ตอสกาน่า ไอจีที.(Toscana IGT) ตั้งแต่วินเทจ 1992
“ไวน์ตินยาเนลโล่ วินเทจ 2007” จะมีส่วนผสมขององุ่นพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 80 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 15 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 5 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 12 เดือน และเก็บบ่มในขวดอีก 12 เดือน ก่อนที่จะออกสู่ตลาด
วินเทจที่ดีของ“ไวน์ตินยาเนลโล่” มาจากวินเทจ 1982, 1985, 1990, 1997, 1998, 1999, 2000 และ 2001 แต่ที่เป็นสุดยอดจะมาจากวินเทจ 1990 และ 1997 ซึ่งนาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น