วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มหากาพย์ไวน์ชั้นเทพ แห่งทัสคานี ตอนที่ 2 Tignanello

ไวน์ตินยาเนลโล่ (Tignanello)   
              จากจุดเริ่มต้นของ ไวน์ซาสซิคาย่า (Sassicaia) ในปีค.ศ.1968  ทำให้เกิดการตื่นตัวของผู้ผลิตไวน์ในแคว้นทัสคานี (Tuscany) ต่อการผลิตไวน์ที่มีความแตกต่างไปจากไวน์เคียนติ (Chianti)  หนึ่งในนั้นคือ บริษัท มาร์เคสิ แอล.แอนด์ พี.อันติโนริ (Marchesi L&P Antinori) แห่งเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ยักษ์ใหญ่ในวงการไวน์อิตาเลียน
              บริษัท มาร์เคสิ แอล.แอนด์ พี.อันติโนริ (Marchesi L&P Antinori) ครอบครองพื้นที่มากกว่า 1,700 เฮ็คต้าร์  ดำเนินกิจการเกี่ยวกับไวน์มาตั้งแต่ปีค..1385  โดยบุคคลในตระกูลได้สืบทอดกิจการมาจนถึงทุกวันนี้ นานกว่า 600 ปี รวม 26 ชั่วอายุคน (generations)  ในปัจจุบันมีกิจการไวน์ในแคว้นทัสคานี (Tuscany) แคว้นอุมเบรีย (Umbria) แคว้นปิเอมอนเต้ (Piemonte) แคว้นปูเลีย (Puglia) และแคว้นลอมบาร์ดี (Lombardy)  รวมถึงการลงทุนทำกิจการไวน์ในต่างประเทศอีกหลายแห่ง โดยอยู่ในความรับผิดชอบของ มาร์เคเซ่ ปิเอโร่ อันติโนริ (Marchese Piero Antinori) ตั้งแต่ปีค..1966 
              มาร์เคเซ่ อันติโนริ เป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ได้นำเอานวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ในไร่ปลูกองุ่นและในโรงผลิตไวน์ เช่น การเก็บเกี่ยวองุ่นขาวก่อนกำหนด การใช้ถังเหล็กไร้สนิมขนาดใหญ่ (stainless steel tank) ที่มีการควบคุมอุณหภูมิสำหรับการหมักไวน์ fermenting) การหมักไวน์ขาวในขวดที่ผ่านการฆ่าเชื้อโรค รวมถึงการพยายามทำการทดลองทำไวน์แดงให้นุ่มนวลด้วยการเก็บหมักไวน์แบบมาโลแลคติค เฟอร์เมนเตชั่น (malolactic fermentation)
              ด้วยความมุ่งมั่นในความคิดที่จะทำในสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิม มาร์เคเซ่ อันติโนริ จึงวางแผนทำแดงฉลากใหม่ใช้องุ่นที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศ (International grapes)  
              ไวน์ตินยาเนลโล่ จึงถูกผลิตออกมาในปีค..1971 จากฝีมือของ นายจาโคโม่ ทาคิส (Giacomo Tachis) โดยใช้องุ่นพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) พันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) และพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) แต่ก่อนหน้านั้นในปีค..1970  อยู่ในคราบของไวน์เคียนติ คลาสสิโก้ ริแซร์ว่า วินเยโต้ ตินยาเนลโล่ (Chianti Clasico Ris. Vigneto Tignanello) ไวน์เกรดดีโอซีจี.(DOCG)  
              ไวน์ตินยาเนลโล่ มีการหมักแบบมาโลแลคติค (malolactic fermentation) และเก็บบ่มไวน์ในถังบาร์ริค (barrique)  นับว่าเป็น ไวน์ซูเปอร์ทัสกัน ฉลากแรกที่ใช้องุ่นพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ที่เกิดขึ้นในเขตเคียนติ คลาสสิโก้ (Chianti Classico Zone) ทำให้ผู้ผลิตไวน์อีกหลายรายเอาเป็นแบบอย่าง  รวมถึงการนำเอาวิธีการผลิตที่มีการเก็บบ่มไวน์ในถังบาร์ริค (barrique) มาใช้ผสมผสานกับวิธีการผลิตดั้งเดิม ซึ่งนับว่าเป็นการเปิดทำนบที่ปิดกั้นความคิดดั้งเดิมของชาวทัสกัน (Tuscans) 
              จากจุดเริ่มต้นของ ไวน์ตินยาเนลโล่ ในปีค.ศ.1971 แต่ในอีก 3 วินเทจต่อมาไม่มีการผลิต เนื่องจากองุ่นจากไร่ตินยาเนลโล่ (Tignanello Vineyard) มีไม่เพียงพอ และมีการผลิตอีกครั้งในวินเทจ 1975  ในช่วงแรกที่ทำการผลิตถูกจัดเป็นไวน์เกรดวิโน่ ดา ตาโวล่า เดลเล่ ตอสกาน่า (Vino da Tavola delle Toscana) ได้รับการยกระดับขึ้นเป็นไวน์ในเกรดไวน์ตอสกาน่า ไอจีที.(Toscana IGT) ตั้งแต่วินเทจ 1992 
              ไวน์ตินยาเนลโล่ วินเทจ 2007  จะมีส่วนผสมขององุ่นพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 80 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 15 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 5 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 12 เดือน และเก็บบ่มในขวดอีก 12 เดือน ก่อนที่จะออกสู่ตลาด                
              วินเทจที่ดีของไวน์ตินยาเนลโล่ มาจากวินเทจ 1982, 1985, 1990, 1997, 1998, 1999, 2000 และ 2001  แต่ที่เป็นสุดยอดจะมาจากวินเทจ 1990 และ 1997  ซึ่งนายโรเบิร์ต ปาร์คเกอร์ (Robert M. Parker Jr.) ให้ 93 คะแนน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น