วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

From the Earth to the Sky

From the Earth to the Sky

E-mailPrintPDF
 
     
         ผมเคยอ่านบทประพันธ์ของนักเขียนชื่อดังคนหนึ่งของฟ้าเมืองไทย มีข้อความตอนหนึ่งที่ท่านได้เขียนไว้อย่างน่าฟังว่า การปั้นดินให้เป็นดาวนั้นยากนัก แต่การปั้นก้อนดินแล้วขว้างไปให้ถึงดวงดาวนั้นยากยิ่งกว่า  ซึ่งประโยคนี้ผมจำได้ขึ้นใจ และขอเอามาใช้กับนายจาโคโม เนริ (Giacomo Neri) หนุ่มชาวอิตาเลียนผู้เพียรพยายามที่จะสร้างสรรค์ผลงานของตนเองให้ก้าวขึ้นมาอยู่ในแถวหน้าของผู้ผลิตไวน์แห่งแคว้นทัสคานี(Tuscany)
           


   เรื่องราวต่อไปนี้เป็นอีกมุมหนึ่งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัวของนายจาโคโม เนริ (Giacomo Neri) เจ้าของบริษัท คาซาโนว่า ดิ เนริ (Azienda Agricola Casanova di Neri) แห่งตำบลมอนตาลชิโน่ (Comune di Montalcino) เมืองซิเอน่า (Siena) ที่ไม่เคยปรากฏต่อสาธารณะชนในเมืองไทยหรือที่อื่นใดมาก่อน  ซึ่งฉากหลังของการสนทนาคือ ลา สกาล่า ห้องอาหารชื่อดังในโรงแรมสุโขทัย
       .. 
ผมพบกับ จาโคโม” เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2552  เมื่อหนุ่มใหญ่วัย 44 ปี  เดินทางมาพักผ่อนกับครอบครัวในประเทศไทย  แต่สองปีก่อนหน้านั้นเราได้เคยติดต่อกันโดยทาง e-mail เมื่อผมต้องการภาพประกอบเรื่องราวที่ผมเขียนถึงไวน์บรูเนลโล่ ดิ มอนตาลชิโน่ แชร์เรตาลโต้(Brunello di Montalcino Cerretalto) วินเทจ 2001  ซึ่งเป็นไวน์ 100 พ้อยต์ ของนิตยสารไวน์สเปคเตเตอร์ (Wine Spectator Magazine)    
   ...การสนทนาครั้งนี้เป็นการประสานงานของคุณทามาร่า เดมิโอ (Tamara Demio) แห่งบริษัท จี.โฟร์ประเทศไทย จำกัด (G Four Thailand Co.,Ltd.) ผู้นำเข้าไวน์รายใหญ่รายหนึ่งในประเทศไทย                จาโคโม มีเชื้อสายของชาวทัสกัน (Tuscans) อย่างแท้จริง  เขาเกิดเมื่อปีค.ศ.1965 ที่เมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองซิเอน่า (Siena)  เขาเติบโตมาท่ามกลางไอดินและกลิ่นไวน์ในชนบทแห่งแคว้นทัสคานี (Tuscany)  ในช่วงเวลาที่นายโจวานนิ เนริ (Giovanni Neri) ผู้เป็นบิดาได้อพยพครอบครัวมาสร้างบ้านหลังใหม่ของเนริ หรือ คาซาโนว่า ดิ เนริ บนที่ดินผืนเล็กๆ ในตำบลมอนตาลชิโน่ (Comune di Montalcino) เมื่อปีค.ศ.1971 บุคลิกที่ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัยทำให้ดูน่ายำเกรง  แต่จากความสุภาพเป็นกันเองและใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอยู่เกือบตลอดเวลา ทำให้เราสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วราวกับว่าได้รู้จักกันมาแต่ชาติปางก่อน                
      ...ผมเริ่มคำถามแรกด้วยการขอทราบชีวิตวัยเด็ก ซึ่ง จาโคโม หัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะพรรณาอย่างยืดยาวว่า เขาเติบโตมาในชนบทและมีชีวิตที่อิสระโดยที่บิดาไม่ได้กำหนดอนาคตหรือตั้งกฏเกณฑ์ใดๆ ไว้เลย โดยยอมให้เลือกเส้นทางเดินของชีวิตด้วยตัวเองเพียงแต่คอยให้คำชี้แนะในทิศทางที่ถูกต้อง  จากการที่เห็นบิดาและเพื่อนบ้านใกล้เคียงมีอาชีพเกี่ยวกับการทำไวน์ ทำให้เขามีความฝันในว่าสักวันหนึ่งจะต้องเป็นคนทำไวน์  และนั่นก็เป็นแรงจูงใจให้เข้ารับการศึกษาด้านการทำไวน์ (Eonology) จากมหาวิทยาลัยแห่งเมืองซิเอน่า (The University of Siena)                
     ...หลังจากสำเร็จการศึกษา จาโคโม ได้ออกตระเวณไปตามไวเนอรี่หลายแห่งในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวเนอรี่ชั้นนำในประเทศฝรั่งเศส  ทั้งนี้เพื่อเป็นการสั่งสมความรู้นอกชั้นเรียนและเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง       
    
... เขาเริ่มชีวิตการทำงานด้วยการเข้ามารับผิดชอบในบริษัท คาซาโนว่า ดิ เนริ (Azienda Agricola Casanova di Neri) เมื่อปีค.ศ.1984 หลังจากที่บิดาของเขาถึงแก่กรรม  เขาได้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะทุ่มเทความรู้ความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อให้เป็นผู้ผลิตไวน์ระดับหัวแถว แต่สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือการคงไว้ในสิ่งที่บิดาสร้างขึ้นมา จาโคโม ยอมรับว่า ไวน์บรูเนลโล่  ไวน์เกรดดีโอซีจี.(DOCG)  เป็นไวน์ที่ทำชื่อเสียงให้กับบริษัท คาซาโนว่า ดิ เนริ (Azieda Agricola Casanova di Neri) เป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นไวน์ที่ใช้วิธีการผลิตสมัยใหม่(modern interpretations) หรือไวน์ที่ใช้วิธีการผลิตแบบดั้งเดิม (traditionally styled)             
      ...บิดาของเขาเริ่มผลิตไวน์บรูเนลโล่ ดิ มอนตาลชิโน่ (Brunello di Montalcino) ตั้งแต่ปีค.ศ.1971  โดยเก็บบ่มไวน์ในถังไม้สลาโวเนียน โอ๊ก (Slavonian oak casks) ขนาด 40 และ 77 เฮ็คโตลิตร เป็นเวลายาวนานถึง 45 เดือน ซึ่งถังไม้กลุ่มนี้จะมีอายุการใช้งานไม่ต่ำกว่า 20 ปี  เมื่อบรรจุขวดแล้วจะเก็บบ่มในขวดเป็นเวลา 15 เดือน  ไวน์ฉลากนี้จึงแสดงออกถึงความเป็น ไวน์บรูเนลโล่ ของชาวทัสกัน (Tuscans) อย่างแท้จริง... 
       ...อีก 10 ปีต่อมาก็ได้ผลิตไวน์บรูเนลโล่ ดิ มอนตาลชิโน่ แชร์เรตาลโต้ (Brunello di Montalcino Cerretalto) ที่เป็นชนิด “RISERVA”  โดยใช้องุ่นจากไร่ปลูกแห่งเดียว (single vineyard) ใช้วิธีการผลิตสมัยใหม่ (modern interpretations) ตามความต้องการของตลาดในทวีปยุโรปและในสหรัฐอเมริกา มีการเก็บบ่มไวน์ในถังไม้โอ๊กขนาด 300 ลิตร จากประเทศฝรั่งเศส เป็นเวลา 27 เดือน และเก็บบ่มในขวดอีก 27 เดือน  ซึ่งแน่นอนว่าจะให้ความแตกต่างจาก ไวน์บรูเนลโล่ ฉลากแรกโดยสิ้นเชิง เพื่อรองรับตลาดระดับล่างที่เป็นคนกลุ่มใหญ่ บิดาของเขาจึงคิดที่จะผลิตไวน์ที่สามารถดื่มได้ทุกวันและทุกโอกาส (everyday wine)  ดังนั้นในปีค.ศ.1982 จึงเป็นวินเทจแรกของไวน์รอซโซ่ ดิ มอนตาลชิโน่ (Rosso di Montalcino) ไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) โดยใช้องุ่นพันธุ์บรูเนลโล่ (Brunello) 100 เปอร์เซ็นต์              
        ... จาโคโม มองเห็นความแตกต่างระหว่าง ไวน์บรูเนลโล่ ทั้งสองฉลากที่ผู้ป็นบิดาได้สร้างสรรค์ขึ้นมา หลังจากที่เขาเข้ามากุมบังเหียนแทนบิดาเขาจึงได้วางแผนทำการผลิต ไวน์บรูเนลโล่ ฉลากใหม่ที่ผสมผสานไวน์ทั้งสองคาแรคเตอร์เข้าด้วยกัน โดยมีการเก็บบ่มไวน์ในถังไม้โอ๊กขนาด 600 ลิตร เป็นเวลา 29 เดือน และเก็บบ่มในขวดเป็นเวลา 24 เดือน  ดังนั้นในปีค.ศ.1993  จึงเป็นที่มาของไวน์บรูเนลโล่ ดิ มอนตาลชิโน่ เตนูต้า นูโอว่า (Brunello di Montalcino Tenuta Nuova) ที่มีนายคาร์โล แฟร์รินิ (Carlo Ferrini) ไวน์เมคเกอร์มือทองสมองเพชรแห่งแคว้นทัสคานี (Tuscany) เข้ามาเป็นที่ปรึกษาด้านการผลิต  ซึ่ง จาโคโม ยังบอกด้วยว่าวินเทจ 2005  เป็นสุดยอดของไวน์ฉลากนี้             
          
...ในปีค.ศ.2000  ไวน์ซาน ตันติโม่ ปิเอตราโดนิเช่ (San’t Antimo Pietradonice) ได้ถือกำเนิดตามออกมาโดยฝีมือของ จาโคโม  โดยใช้องุ่นพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวิญยอง (Cabernet sauvignon) 90 เปอร์เซ็นต์ ผสมกับองุ่นพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 10 เปอร์เซ็นต์ มีการเก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) ใหม่ เป็นเวลา 18 เดือน เก็บบ่มในขวดเป็นเวลา เดือน  นับว่าเป็นไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) อีกฉลากหนึ่งของบริษัท คาซาโนว่า ดิ เนริ (Azienda Agricola Casanova di Neri)  แต่ต่อมาในปีค.ศ.2005  ไวน์ฉลากนี้ได้สลัดคราบไคลของไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) ไปเป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) เกรดตอสกาน่า ไอจีที.(Toscana IGT)  โดยใช้ชื่อใหม่ว่า ไวน์ปิเอตราโดนิเช่ (Pietradonice) ใช้องุ่นพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวิญยอง (Cabernet sauvignon) 100 เปอร์เซ็นต์  
          ...และล่าสุดในปีค.ศ.2006  จาโคโม ทำการผลิตไวน์ซาน ตันติโม่ รอซโซ่ ดิ คาซาโนว่า ดิ เนริ (San’t Antimo Rosso di Casanova di Neri) ไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) ออกมาให้เป็นทางเลือกใหม่ของไวน์ระดับล่าง โดยใช้องุ่นพันธุ์บรูเนลโล่ (Brunello) 90 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์โคโลริโน่ (Colorino) 10 เปอร์เซ็นต์  ซึ่งไวน์จากวินเทจ 2006 ได้เรตติ้ง 90 คะแนน จากนายโรเบิร์ต ปาร์คเกอร์ (Robert M. Parker Jr.) 
            
      ... เพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลงบ้างผมจึงถาม
ด้วยคำถามเบาๆ ว่า เขาใฝ่ฝันอยากได้อะไรในชีวิตซึ่ง จาโคโม ตอบกลับอย่างไม่ลังเลใจว่าสำหรับคนทำไวน์ก็อยากได้ฤดูกาลที่ดีสำหรับองุ่นในไร่ปลูก เขาพอใจในวินเทจ 2007 และ 2008 ที่ให้ผลผลิตองุ่นดีเกินความคาดหมาย  ส่วนวินเทจ 2009 ที่จะเก็บเกี่ยวในเดือนกันยายน อาจจะอยู่เหนือความคาดหมายด้วยซ้ำไป  หากย้อนกลับไปเขาก็ปลื้มใจกับวินเทจ 2005 และ 2006  รวมถึงวินเทจ 2004 ที่เยี่ยมยอดมาก ผมขอให้เปรียบเทียบภาพรวมของไวน์อิตาเลียนจากวินเทจ 1997 และวินเทจ 2001  ซึ่ง “จาโคโม บอกว่า ถึงแม้ไวน์บรูเนลโล่ ดิ มอนตาลชิโน่ แชร์เรตาลโต้(Brunello di Montalcino Cerretalto) วินเทจ 2001 เป็นไวน์ 100 พ้อยต์ จากนิตยสารไวน์สเปคเตเตอร์ (Wine Spectator Magazine) แต่เขาชื่นชอบวินเทจ 1997มากกว่า...โดยใช้คำจำกัดความสั้นๆ แต่ได้ใจความชัดเจนว่าวินเทจ 1997  จะเป็น “vintage of dream” ไวน์ที่ทำออกมามีความ “more elegance”  ส่วนวินเทจ 2001 จะเป็น “wonderful vintage”  ที่สามารถทำไวน์ออกมาได้ “more rich and more body” 
            ...ในความเป็นส่วนตัว  จาโคโม” ชอบใช้ชีวิตที่เรียบง่ายกับครอบครัวในไร่ปลูกองุ่นและในเซลล่าร์ เขาไม่มีบ้านพักที่หรูหรา คนในครอบครัวจะอาศัยร่วมกันที่บ้านหลังเล็กในชนบท  ชอบดื่มไวน์ดี รับประทานอาหารอร่อย และมีความห่วงใยในสุขภาพของตนเอง  ไม่ชอบที่จะแสดงตัวในที่สาธารณะหรือเดินทางไปต่างประเทศบ่อยนัก เพราะตัวตนที่แท้จริงคือเป็น คนทำไวน์  จะเห็นได้ว่าเขาเดินทางไปต่างประเทศไม่เกินปีละ 3 ครั้ง  ซึ่งครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย         
  ...และในช่วงท้ายของการสนทนา ผมขอให้ จาโคโม แนะนำอาหารที่จะรับประทานกับไวน์แดงจากบริษัท คาซาโนว่า ดิ เนริ (Azienda Agricola Casanova di Neri) ก็เลยได้รับคำเฉลยที่ยืดยาวเลยทีเดียว ซึ่งเขาบอกว่าไวน์บรูเนลโล่ ดิ มอนตาลชิโน่ (Brunello di Montalcino) ฉลากสีขาว โครงสร้างของไวน์ไม่หนามากนักเป็นไวน์ที่ดื่มง่ายๆ ไม่เน้นการดื่มกับอาหารหนัก อาจจะเป็นชีสรสอ่อนหรือเนื้อแกะก็ย่อมได้ และอาจดื่มร่วมกับอาหารมื้อกลางวันก็ได้ไม่จำเป็นที่จะต้องดื่มร่วมกับอาหารในมื้อเย็น ไวน์บรูเนลโล่ ดิ มอนตาลชิโน่ เตนูต้า นูโอว่า (Brunello di Montalcino Tenuta Nuova) ควรดื่มกับชีสที่มีรสเข้ม เนื้อแกะ เนื้อไก่ หรือเนื้อที่เป็นสีชมพู         
         
        
           ...ไวน์บรูเนลโล่ ดิ มอนตาลชิโน่ แชร์เรตาลโต้ (Brunello di Montalcino Cerretalto) และไวน์ปิเอตราโดนิเช่ (Pietradonice)  โครงสร้างของไวน์จะหนามาก ควรดื่มร่วมกับอาหารจานหลักที่เป็นเนื้อสีแดงในมื้อเย็น              
           ...ไวน์รอซโซ่ ดิ มอนตาลชิโน่ (Rosso di Montalcino) และไวน์ซาน ตันติโม่ รอซโซ่ ดิ คาซาโนว่า ดิ เนริ (San’t Antimo Rosso di Casanova di Neri)  สามารถดื่มร่วมกับอาหารมื้อกลางวันที่ไม่หนักมากนัก จะเป็นพิซซ่าหรือพาสต้าก็ไม่แปลกแต่ประการใด                           
            ...  ในปัจจุบันบริษัท คาซาโนว่า ดิ เนริ (Azienda Agricola Casanova di Neri) ผลิตเฉพาะไวน์แดงปีละประมาณ 2 แสนขวด  มีพื้นที่ปลูกองุ่นรวมทั้งสิ้น 36เฮ็คต้าร์ ในตำบลมอนตาลชิโน่ (Comune di Montalcino) ไร่ปลูกองุ่น แห่ง จะอยู่แยกจากกัน คือ ไร่ปลูกฟิเอโซเล่ (Fiesole vineyard) จะอยู่รอบๆ เซลล่าร์ ซึ่งเป็นไร่ปลูกดั้งเดิมที่บิดาทำไว้ องุ่นจากที่นี่จะใช้ทำไวน์บรูเนลโล่ ดิ มอนตาลชิโน่ (Brunello di Montalcino) ฉลากดั้งเดิม               
          ....ไร่ปลูกแชร์เรตาลโต้ (Cerretalto vineyard) เป็นไร่ปลูกแห่งที่สองที่ซื้อในปีค.ศ.1986  อยู่ทางทิศตะวันออกของเซลล่าร์ องุ่นจากที่นี่จะใช้ผลิตไวน์บรูเนลโล่ ดิ มอนตาลชิโน่ แชร์เรตาลโต้ (Brunello di Montalcino Cerretalto) เท่านั้น ส่วนไร่ปลูกเตนูต้า นูโอว่า (Tenuta Nuova vineyard) และไร่ปลูกปิเอตราโดนิเช่(Pietradonice vineyard) อยู่ทางทิศใต้ของเซลล่าร์  องุ่นจากที่นี่จะใช้ผลิตไวน์บรูเนลโล่ ดิ มอนตาลชิโน่ เตนูต้า นูโอว่า (Brunello di Montalcino Tenuta Nuova)และไวน์ปิเอตราโดนิเช่ (Pietradonice)  รวมถึงผลิตไวน์ฉลากเล็กๆ ด้วย    
                       
           ...ความสำเร็จของนายจาโคโม เนริ (Giacomo Neri) และ บริษัท คาซาโนว่า ดิ เนริ (Azienda Agricola Casanova di Neri) มิได้เกิดจากโชคชะตาหรือฟ้าลิขิต แต่เป็นความสำเร็จที่เกิดจากการสร้างสรรค์ผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะชน  นับจากนี้ไปเราคงต้องติดตามเฝ้าดูกันว่าดาวดวงน้อยดวงนี้จะสามารถโคจรอยู่ท่ามกลางแรงเหวี่ยงของจักรวาลได้นานแค่ไหน และจะเป็นดวงดาวที่เปล่งประกายสว่างไสวได้นานเพียงใด  กาลเวลาจะให้คำตอบแก่เราได้เป็นอย่างดี....


ที่มา : http://www.konrakwine.com  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น