วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เจาะลึกไวน์จากแคว้นทัสคานี : ไวน์จากเมืองฟลอเรนซ์


                                    ไวน์จากเมืองฟลอเรนซ์ (Florence)
            
           ฟลอเรนซ์  เมืองหลวงแห่ง แคว้นทัสคานี  เป็นชุมชนใหญ่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในตอนปลายศตวรรษที่ 15 ภายใต้การปกครองของตระกูลเมดิชิ (Medici family)  ซึ่งในช่วงเวลานั้นเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) เป็นศูนย์กลางการค้าและศิลปะวัฒนธรรมของทวีปยุโรป และเป็นเมืองหลวงของโลกทางวัฒนธรรมที่นักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกต้องไปเยือน  เป็นหนึ่งในสามของ “The Three Pearls of Italy”
              ฟลอเรนซ์ (Florence) เรียกในภาษาอิตาเลียนว่า ฟิเรนเซ่ (Firenze)  มีที่มาจากคำว่า ฟลอเรนเตีย-Florentia”  ชุมชนเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอาร์โน (Arno River)  ซึ่งตรงกับคำว่า ฟลอริด-Florid”  ที่หมายถึงดอกไม้สีแดง ดังที่เราเห็นตราประจำเมืองเป็นรูปดอกไม้สีแดง  มีพื้นที่ประมาณ 3,514 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 993,780 คน (ค.ศ.2010)  สิ่งที่น่าสนใจในตัวเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) จะเป็นศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ (Historic Center) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (World Heritage) ลำดับที่ 174  จากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เมื่อปีค.ศ.1982
              หากไม่นับรวมไวน์เคียนติ (Chianti) และไวน์เคียนติ คลาสสิโก้ (Chianti Classico)  ไวน์จากเมืองฟลอเรนซ์ (Florence)  มีไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) เพียงแค่ 5 เขต ไม่มีไวน์เกรดดีโอซีจี.(DOCG) อยู่เลย  แต่มีไวน์เกรดตอสกาน่า ไอจีที.(Toscana IGT) ที่หลากหลาย

              ไวน์เบียงโค่ เดล เลมโปเลเซ่ (Bianco dell’Empolese)
              ไวน์เบียงโค่ เดล เลมโปเลเซ่ (Bianco dell’Empolese) เป็นไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) ที่กำหนดขึ้นเมื่อปีค.ศ.1989  พื้นที่การผลิตอยู่ใน 6 ชุมชน เขตเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ซึ่งประกอบด้วย
              ตำบลเอ็มโปลิ (Comune di Empoli) ตำบลวินชิ (Comune di Vinci) ตำบลแชร์เรโต้ กุยดิ (Comune di Cerreto Guidi) ตำบลฟูเชคคิโอ้ (Comune di Fucecchio) ตำบลคาปราย่า เอ ลิมิเต้ (Comune di Capraia e Limite) และตำบลมอนเตลูโป้ (Comune di Montelupo)
              มีการผลิตทั้งไวน์ขาว (Vino Bianco) และไวน์วิน ซานโต้ (Vin Santo) การผลิตไวน์จะอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์การผลิตของ มิเนสเตโร่ เดลเล่ โปลิติเค่ อากริโคเล่ เอ ฟอเรสตาลิ (Ministero delle Politiche Agricole e Forestali)  โดยมีสาระสำคัญว่า ไวน์เบียงโค่ เดล เลมโปเลเซ่ (Bianco dell’Empolese) ชนิดธรรมดา และไวน์เบียงโค่ เดล เลมโปเลเซ่ วิน ซานโต้ (Bianco dell’Empolese Vin Santo) ชนิดธรรมดา ใช้องุ่นเขียวพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) ไม่น้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในแคว้นทัสคานี (Tuscany) ไม่เกิน 40 เปอร์เซ็นต์    

              ไวน์คอลลิ เดล เลตรูเรีย เชนตราเล่ (Colli dell’Etruria Centrale)
              ไวน์คอลลิ เดล เลตรูเรีย เชนตราเล่ (Colli dell’Etruria Centrale) เป็นไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) ที่กำหนดขึ้นเมื่อปีค.ศ.1990  โดยให้เป็นทางเลือกของผู้ผลิตไวน์เคียนติ (Chianti Wine Producers) ที่ไม่ต้องผูกติดอยู่กับไวน์เกรดดีโอซีจี.(DOCG) มากนัก  ดังนั้นพื้นที่การผลิตไวน์จึงเป็นพื้นที่ทั่วไปในเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) เมืองปิซ่า (Pisa) เมืองปิสโตย่า (Pistoia) เมืองปราโต้ (Prato) และเมืองซิเอน่า (Siena)
              มีการผลิตทั้งไวน์แดง (Vino Rosso) ไวน์โรซาโต้ (Rosato) ไวน์ขาว (Vino Bianco) ไวน์หวานวิน ซานโต้ (Vin Santo) และไวน์หวานวิน ซานโต้ โรซาโต้ อ๊อคคิโอ ดิ แปร์นิเช่ (Vin Santo Rosato Ochhio di Pernice)  การผลิตไวน์จะอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์การผลิตของ คอนซอร์ซิโอ วิโน่ เคียนติ (Consorzio Vino Chianti)  โดยมีสาระสำคัญดังนี้ 
1.  ไวน์คอลลิ เดล เลตรูเรีย เชนตราเล่ รอซโซ่ (Colli dell’Etruria Centrale Rosso) ชนิดธรรมดา และไวน์คอลลิ เดล เลตรูเรีย เชนตราเล่ โรซาโต้ (Colli dell’Etruria Centrale Rosato) ชนิดธรรมดา ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์  พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) พันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) พันธุ์ปิโน เนโร (Pinot nero) พันธุ์แมร์โล (Merlot) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในแคว้นทัสคานี (Tuscany) ไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์
2.  ไวน์คอลลิ เดล เลตรูเรีย เชนตราเล่ เบียงโค่ (Colli dell’Etruria Centrale Bianco) ชนิดธรรมดา ใช้องุ่นเขียวพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano tascano) ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์  พันธุ์ชาร์ดอนเน่ (Chardonnay) พันธุ์ปิโน เบียงโค่ (Pinot bianco) พันธุ์ปิโน กริโจ้ (Pinot grigio) พันธุ์แวร์นาชช่า (Vernaccia) พันธุ์มาลวาเซีย เดล เคียนติ (Malvasia del Chianti) พันธุ์โซวินยอง บลอง (Sauvignon blanc) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในแคว้นทัสคานี (Tuscany) ไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์ 
3.  ไวน์คอลลิ เดล เลตรูเรีย เชนตราเล่ วิน ซานโต้ (Colli dell’Etruria Centrale Vin Santo) ชนิดธรรมดา และ “Riserva” ใช้องุ่นเขียวพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano tascano) พันธุ์มาลวาเซีย เดล เคียนติ (Malvasia del Chianti) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่น้อยกว่า 70 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในแคว้นทัสคานี (Tuscany) ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์ 
4.  ไวน์คอลลิ เดล เลตรูเรีย เชนตราเล่ วิน ซานโต้ อ๊อคคิโอ ดิ แปร์นิเช่ (Colli dell’Etruria Centrale Vin Santo Occhio di Pernice) ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในแคว้นทัสคานี (Tuscany) ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ 
             
              ไวน์โปมิโน่ (Pomino)
              ไวน์โปมิโน่ (Pomino) เป็นไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) ที่กำหนดขึ้นเมื่อปีค.ศ.1983  แต่มีหลักฐานทางเอกสารที่ระบุว่ามีการทำไวน์ชนิดนี้มาก่อนหน้านั้นถึง 250 ปี โดยใช้พันธุ์องุ่นที่นำมาจากประเทศฝรั่งเศส  แหล่งผลิตไวน์จะอยู่ในตำบลรูฟิน่า (Comune di Rufina) เขตเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเขตย่อยเคียนติ รูฟิน่า (Chianti Rufina Sub-Zone)  
              มีการผลิตทั้งไวน์แดง (Vino Rosso) ไวน์ขาว (Vino Bianco) ไวน์ขาวหวานที่เก็บเกี่ยวช้า (lated harvest) ไวน์วิน ซานโต้ (Vin Santo) และไวน์วิน ซานโต้ อ๊อคคิโอ้ ดิ แปร์นิเช่ (Vin Santo Occhio di Pernice)  การผลิตไวน์จะอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์การผลิตของ มิเนสเตโร่ เดลเล่ โปลิติเค่ อากริโคเล่ เอ ฟอเรสตาลิ (Ministero delle Politiche Agricole e Forestali)  โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1.  ไวน์โปมิโน่ รอซโซ่ (Pomino Rosso) ชนิดธรรมดา และ “Riserva” และไวน์โปมิโน่ วิน ซานโต้ อ๊อคคิโอ้ ดิ แปร์นิเช่ (Pomino Vin Santo Occhio di Pernice)  ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์ปิโน เนโร (Pinot nero) พันธุ์แมร์โล (Merlot) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในแคว้นทัสคานี (Tuscany) ไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์   หากเป็นชนิดโมโนวาไรทัล (mono varietal) ให้ใช้องุ่นแดงพันธุ์ปิโน เนโร (Pinot nero) หรือ พันธุ์แมร์โล (Merlot) ไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในแคว้นทัสคานี (Tuscany) ไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ 
2.  ไวน์โปมิโน่ เบียงโค่ (Pomino Bianco) ชนิดธรรมดา และ “Riserva” และไวน์โปมิโน่ วิน ซานโต้ (Pomino Vin Santo)  ใช้องุ่นเขียวพันธุ์ปิโน เบียงโค่ (Pinot bianco) พันธุ์ปิโน กริโจ้ (Pinot grigio) พันธุ์ชาร์ดอนเน่ (Chardonnay) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่น้อยกว่า 70 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในแคว้นทัสคานี (Tuscany) ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์  หากเป็นชนิดโมโนวาไรทัล (mono varietal)  ให้ใช้องุ่นเขียวพันธุ์ชาร์ดอนเน่  (Chardonnay) หรือ พันธุ์โซวินยอง บลอง (Sauvignon blanc) ไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในแคว้นทัสคานี (Tuscany) ไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ 
              ผู้ผลิตไวน์โปมิโน่ (Pomino Wine Producers)
              บริษัท คาสเตลโล่ ดิ โปมิโน่ (Castello di Pomino) ผู้ผลิตไวน์ที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของบริษัท มาร์เคสิ เด เฟรสโคบัลดิ (Marchesi de Frescobaldi) ทำไวน์โปมิโน่ รอซโซ่ (Pomino Rosso) โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) พันธุ์ปิโน เนโร (Pinot nero) และพันธุ์แมร์โล (Merlot)  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) 15 เดือน และเก็บในขวดอีก 12 เดือน               
              บริษัท เซลวาเปียน่า (Fattoria Selvapiana) ของนายฟรานเชสโก้ จุนตินิ อันติโนริ (Francesco Giuntini Antinori)  ทำไวน์โปมิโน่ รอซโซ่ ฟัตตอเรีย ดิ เปโตรนยาโน่ (Pomino Rosso Fattoria di Petrognano) โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 60 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) และพันธุ์แมร์โล (Merlot) อย่างละ 20 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังไม้โอ๊กขนาดใหญ่จากประเทศฝรั่งเศส 18 เดือน และเก็บในขวดอีก 6 เดือน   
              
              ไวน์วิน ซานโต้ เดล เคียนติ (Vin Santo del Chianti)
              ไวน์วิน ซานโต้ เดล เคียนติ (Vin Santo del Chianti) เป็นไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) ที่กำหนดขึ้นในปีค.ศ.1997  มีแหล่งผลิตอยู่ในถิ่นไวน์เคียนติ (Chianti Zone) ซึ่งเป็นพื้นที่ในเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) เมืองปิซ่า (Pisa) เมืองปิสโตย่า (Pistoia) เมืองปราโต้ (Prato) และเมืองซิเอน่า (Siena) 
              เป็นไวน์หวานที่มีการผลิตทั้งไวน์วิน ซานโต้ (Vin Santo) และไวน์วิน ซานโต้ อ๊อคคิโอ ดิ แปร์นิเช่ (Vin Santo Ochhio di Pernice)  การผลิตไวน์จะอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์การผลิตของ คอนซอร์ซิโอ วิโน่ เคียนติ (Consorzio Vino Chianti)  โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1.  ไวน์วิน ซานโต้ เดล เคียนติ (Vin Santo del Chianti) ชนิดธรรมดา และ “Riserva” ใช้องุ่นเขียวพันธุ์มาลวาเซีย เบียงค่า (Malvasia bianca) และพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่น้อยกว่า 70 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวและองุ่นแดงที่ปลูกในเขตเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) เมืองปิซ่า (Pisa) เมืองปิสโตย่า (Pistoia) เมืองปราโต้ (Prato) และเมืองซิเอน่า (Siena) ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์
2.  ไวน์วิน ซานโต้ เดล เคียนติ อ๊อคคิโอ ดิ แปร์นิเช่ (Vin Santo del Chianti Ochhio di Pernice) ชนิดธรรมดา และ “Riserva”  ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวหรือองุ่นแดงที่ปลูกในเขตเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) เมืองปิซ่า (Pisa) เมืองปิสโตย่า (Pistoia) เมืองปราโต้ (Prato) และเมืองซิเอน่า (Siena) ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ 
              ผู้ผลิตไวน์วิน ซานโต้ เดล เคียนติ (Vin Santo del Chianti Wine Producers)
              บริษัท ฟราสโคเล่ (Azienda Agricola Frascole) กิจการของตระกูลลิปปิ (Lippi family) จากตำบลดิโคมาโน่ (Comune di Dicomano)  ทำไวน์วิน ซานโต้ เดล เคียนติ รูฟิน่า (Vin Santo del Chianti Rufina) มาตั้งแต่ปีค.ศ.1993  โดยใช้องุ่นเขียวพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) และพันธุ์มาลวาเซีย เบียงค่า (Malvasia bianca)  เก็บบ่มไวน์ในถังไม้โอ๊กนานกว่า 9 ปี

              ไวน์วิน ซานโต้ เดล เคียนติ คลาสสิโก้ (Vin Santo del Chianti Classico)
              ไวน์วิน ซานโต้ เดล เคียนติ คลาสสิโก้ (Vin Santo del Chianti Classico) เป็นไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) ที่กำหนดขึ้นในปีค.ศ.1995  ซึ่งถือว่าเป็นการกำหนดเขตดีโอซี.(DOC) เป็นครั้งแรกให้กับไวน์หวานวิน ซานโต้ (Vin Santo)  แหล่งผลิตอยู่ในถิ่นไวน์เคียนติ คลาสสิโก้ (Chianti Classico Zone)
              เป็นไวน์หวานที่มีการผลิตทั้งไวน์วิน ซานโต้ (Vin Santo) และไวน์วิน ซานโต้ อ๊อคคิโอ ดิ แปร์นิเช่ (Vin Santo Ochhio di Pernice)  การผลิตไวน์จะอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์การผลิตของ คอนซอร์ซิโอ เดล มาร์คิโอ สตอริโค่ เคียนติ คลาสสิโก้ (Consorzio del Marchio Storico Chianti Classico)  โดยมีสาระสำคัญดังนี้ 
1. ไวน์วิน ซานโต้ เดล เคียนติ คลาสสิโก้ (Vin Santo del Chianti Classico) ชนิดธรรมดา และ “Riserva”  ใช้องุ่นเขียวพันธุ์มาลวาเซีย เบียงค่า (Malvasia bianca) และพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่น้อยกว่า 70 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวและองุ่นแดงที่ปลูกในเขตเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) และเมืองซิเอน่า (Siena) ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์ 
2. ไวน์วิน ซานโต้ เดล เคียนติ คลาสสิโก้ อ๊อคคิโอ ดิ แปร์นิเช่ (Vin Santo del Chianti Classico Ochhio di Pernice) ชนิดธรรมดา และ “Riserva”  ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวหรือองุ่นแดงที่ปลูกในเขตเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) เมืองปิซ่า (Pisa) เมืองปิสโตย่า (Pistoia) เมืองปราโต้ (Prato) และเมืองซิเอน่า (Siena) ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ 
             ผู้ผลิตไวน์วิน ซานโต้ เดล เคียนติ คลาสสิโก้ (Vin Santo del Chianti Classico Wine Producers)       
              บริษัท อิโซเล่ เอ โอลิน่า (Isole e Olena)  ผู้ผลิตจากตำบลบาร์เบริโน่ วัล เดลซ่า (Comune di Barberino Val d’Elsa) ของนายเปาโล เด มาร์คิ (Paolo de Marchi)  ทำไวน์วิน ซานโต้ เดล เคียนติ คลาสสิโก้ (Vin Santo del Chianti Classico) โดยใช้องุ่นเขียวพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) เป็นส่วนผสมหลัก

Obsession จาก Vignamaggio
              บริษัท วิลล่า วิย่ามาจโจ้  (Villa Vignamaggio) ผู้ผลิตจากตำบลเกรเว่ อิน เคียนติ (Comune di Greve in Chianti)  กิจการของตระกูลเกราร์ดิ (Gherardi family) ซึ่งครอบครองปราสาทหลังใหญ่ดังที่ยังปรากฏในปัจจุบัน  ทำไวน์วิน ซานโต้ เดล เคียนติ คลาสสิโก้ (Vin Santo del Chianti Classico)  โดยใช้องุ่นเขียวพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) และพันธุ์มาลวาเซีย เดล เคียนติ (Malvasia del Chianti) ที่เก็บเกี่ยวแล้วจะปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน  หลังจากผ่านการหมักแล้วจะมีการเก็บบ่มในถังเหล็กไร้สนิม (stainless steel tank) เป็นเวลา 4 ปี  ผู้ผลิตไวน์แนะนำว่าควรดื่ม 4-5 ปี หลังวินเทจ

              ไวน์ซูเปอร์ทัสกัน จากเมืองฟลอเรนซ์
              นิยามของคำว่าซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans)  หมายถึงไวน์อิตาเลียนที่ผลิตขึ้นมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 50 ในแคว้นทัสคานี (Tuscany) ตามแบบอย่างไวน์แดงจากแคว้นบอร์โด (Bordeaux-blended) โดยใช้พันธุ์องุ่นจากประเทศฝรั่งเศสที่นำมาปลูกในประเทศอิตาลี  
              อีกความหมายหนึ่งอาจหมายถึงจิตวิญญาณของชาวทัสกัน (Tuscans) ผู้มีความท้าทายต่อสิ่งใหม่ๆ หรือผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ของตนเองโดยไม่ยอมรับกฏเกณฑ์ที่ล้าหลัง
              ในเขตเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) จะมีไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) รุ่นบุกเบิก ที่ผลิตมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 70  รวมถึงไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) รุ่นใหม่ที่ผลิตตามออกมามากมายเหมือนกับที่เมืองอื่นๆ  ซึ่งทั้งหมดถูกจัดเป็นไวน์เกรดตอสกาน่า ไอจีที.(Toscana IGT)
              ไวน์โซลาย่า (Solaia) และ ไวน์ตินยาเนลโล่ (Tignanello)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) รุ่นบุกเบิก ของ บริษัท มาร์เคสิ อันติโนริ (Marchesi Antinori) แห่งเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ยักษ์ใหญ่ในวงการไวน์อิตาเลียนที่เอาแบบอย่างไวน์จากแคว้นบอร์โด (Bordeaux-styled)  เป็นไวน์ระดับสูงเทียบเท่ากับไวน์โบลเกริ ซาสซิคาย่า (Bolgheri Sassicaia) จากชุมชนโบลเกริ (Bolgheri Zone) ตำบลคาสตานเยโต้ คาร์ดุชชิ (Comune di Castagneto Carducci) เมืองลิวอร์โน่ (Livorno) 

              ไวน์โซลาย่า  ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1978  โดยในระยะแรกๆ ใช้ส่วนผสมจากองุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 80 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 20 เปอร์เซ็นต์
              ในวินเทจ 1980  ได้นำเอาองุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) เข้ามาผสม 20 เปอร์เซ็นต์ ใช้พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 75 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือเป็นพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc)  ซึ่งเป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) ฉลากที่สองที่มีส่วนผสมจากพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese)  
              แต่นับจากวินเทจ 2002 เป็นต้นไป ย้อนกลับไปใช้สูตรดั้งเดิมโดยไม่ใช้พันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) แต่จะมีพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 90 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 10 เปอร์เซ็นต์

              ไวน์ตินยาเนลโล่  ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1971 โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) และพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) ผสมกับพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ซึ่งในเวลานั้นถูกจัดเป็นไวน์เกรดวิโน่ ดา ตาโวล่า เดลเล่ ตอสกาน่า (Vino da Tavola delle Toscana)  แต่ก่อนหน้านั้นในวินเทจ 1970 อยู่ในคราบของไวน์เคียนติ คลาสสิโก้ ริแซร์ว่า วินเยโต้ ตินยาเนลโล่ (Chianti Clasico Riserva Vigneto Tignanello) ไวน์เกรดดีโอซีจี.(DOCG)  
              ปัจจุบันไวน์ตินยาเนลโล่ (Tignanello) มีส่วนผสมขององุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 80 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 15 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 5 เปอร์เซ็นต์  เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) ฉลากแรกที่ใช้องุ่นพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) และเป็นฉลากแรกที่เกิดขึ้นในเขตเคียนติ คลาสสิโก้ (Chianti Classico Zone)  ทำให้ผู้ผลิตไวน์อีกหลายรายในเขตนั้นเอาแบบอย่าง ซึ่งนับว่าเป็นการเปิดทำนบที่ปิดกั้นความคิดดั้งเดิมของชาวทัสกัน (Tuscans)
             
              ไวน์ดัลเชโอ (d'Alceo) และ ไวน์ซามมาร์โค่ (Sammarco)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) จาก บริษัท คาสเตลโล่ เดอิ รัมโปลล่า (Castello dei Rampolla) ผู้ผลิตไวน์รายใหญ่ในตำบลปันซาโน่ อิน เคียนติ (Comune di Panzano in Chianti) กิจการของตระกูลดิ นาโปลิ (Di Napoli family) ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปีค.ศ.1739  ซึ่งในช่วงเวลานั้นทำการปลูกองุ่นขาย  แต่ที่มาเป็น คาสเตลโล่ เดอิ รัมโปลล่า ในปัจจุบันนั้นได้เริ่มขึ้นในปีค.ศ.1964 โดยนายอัลเชโอ ดิ นาโปลิ (Alceo Di Napoli) ซึ่งวินเทจ 1975 เป็นวินเทจแรกของไวน์จากค่ายนี้
              ไวน์ดัลเชโอ เคยใช้ชื่อว่าไวน์ลา วินย่า ดิ อัลเชโอ (La Vigna di Alceo) ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1996  โดยผ่านการเจียรนัยมาจากนายจาโคโม ทาคิส (Giacomo Tachis)  ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 85 เปอร์เซ็นต์ ผสมกับพันธุ์เปอตี แวร์โด (Petit verdot) 15 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 12 เดือน และเก็บในขวด 8 เดือน เปลี่ยนมาใช้ชื่อ “d’Alceo” ตั้งแต่วินเทจ 2000 เป็นต้นไป  เป็นหนึ่งในไวน์แดงในแบบอย่างไวน์จากแคว้นบอร์โด (Bordeaux-blended) ที่ยอดเยี่ยมอีกฉลากหนึ่งของชาวทัสกัน
              ไวน์ซามมาร์โค่  ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1980  มีส่วนผสมขององุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) และพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon)  ซึ่งพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) จะเก็บบ่มในถังไม้โอ๊กขนาดใหญ่เป็นเวลา 20-24 เดือน ส่วนพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) จะเก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน
              เป็นหนึ่งในไวน์อิตาเลียนที่นายโรเบิร์ต ปาร์คเกอร์ (Robert M.Parker Jr.) ให้เรตติ้งไว้สูงกว่า 90 คะแนน จากทุกวินเทจ
             
              ไวน์ฟลาชชาเนลโล่ เดลล่า ปิเอเว่ (Flaccianello della Pieve)
              เป็นสุดยอดไวน์ซูเปอร์ทัสกัน จาก บริษัท ฟอนโตดิ (Tenuta Fontodi) ผู้ผลิตจากตำบลปันซาโน่ อิน เคียนติ (Comune di Panzano in Chianti) ที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ตอนต้นศตรรษที่ 19 โดยมีการผลิตไวน์เพื่อส่งออกไปยังประเทศในทวีปยุโรป แต่ต่อมาได้หยุดทำการผลิตไประยะหนึ่ง ในที่สุดตระกูลมาเนตติ (Manetti family) ได้เข้าไปซื้อกิจการจากเจ้าของรายเดิม และเริ่มทำการผลิตอีกครั้งเมื่อปีค.ศ.1968  โดยนายโจวานนิ มาเนตติ (Giovanni Manetti)
              มีพื้นที่ปลูกองุ่น 67 เฮ็คต้าร์ บนที่สูง 400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลที่มีหุบเขาเป็นปราการธรรมชาติล้อมรอบ เป็นหนึ่งในพื้นที่ดีที่สุดในใจกลางเขตเคียนติ คลาสสิโก้ (Chianti Classico Zone) ที่ถูกเรียกว่า อ่างทองคำ” (The Golden Basin) พื้นที่แห่งนี้ได้รับแสงอาทิตย์วันละ 8-10 ชั่วโมง มีลมเย็นพัดผ่านในเวลากลางคืน รวมถึงมีแร่ธาตุใต้ดินตามที่องุ่นพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ต้องการ  สิ่งเหล่านี้เป็นไมโคร-ไคลเมท (micro-climate) ที่คนทำไวน์แสวงหากันเหลือเกิน
              ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1981 และผลิตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันซึ่งหากนับจนถึงเวลานี้ต้นองุ่นที่นำมาทำไวน์จะมีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี  ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 100 เปอร์เซ็นต์  ไวน์มีสีทับทิมเข้มลึกเป็นผลจากเก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) ใหม่เป็นเลา 18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 12 เดือน  ไวน์ฉลากนี้น่าจะเป็นทางเลือกใหม่สำหรับท่านที่ชื่นชอบไวน์บรูเนลโล่ ดิ มอนตาลชิโน่ (Brunello di Montalcino) แต่ขยาดกับราคาที่เกินความเป็นจริง 
              ไวน์จากวินเทจ 2004 ได้ 96 คะแนน จากนายโรเบิร์ต ปาร์คเกอร์ (Robert M. Parker Jr.) แห่งนิตยสารไวน์ แอดโวเคท (Wine Advocate Magazine) และได้ 95 คะแนนจากนายเจมส์ ซัคลิ่ง (James Suckling) แห่งนิตยสารไวน์ สเปคเตเตอร์ (Wine Spectator Magazine)  รวมถึงได้รับรางวัลทรีกลาสส์ (Three Glasses Awards) จากสำนักพิมพ์ กัมเบโร่ รอซโซ่ (Gambero Rosso Editore) หลายครั้ง  ซึ่งนายโจวานนิ มาเนตติ (Giovanni Manetti) ผู้เป็นเจ้าของไวน์ได้กล่าวกับสื่อมวลชนในประเทศอิตาลีว่าวินเทจนี้ดีที่สุดเท่าที่เคยทำมา
                            
              ไวน์ลา มาสซ่า (La Massa) และ ไวน์จอร์โจ้ ปริโม่ (Giorgio Primo)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน จาก บริษัท ลา มาสซ่า (Fattoria La Massa) ผู้ผลิตรายเล็กๆ จากตำบลปันซาโน่ อิน เคียนติ (Comune di Panzano in Chianti) ของนายจามเปาโล ม๊อตต้า (Giampaolo Motta)  ผู้ยอมอุทิศตนทำไวน์คุณภาพสูงเท่านั้น มีผลงานโดดเด่นมาจากไวน์เคียนติ คลาสสิโก้ จอร์โจ้ ปริโม่ (Chianti Classico Giorgio Primo) ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นไวน์เคียนติ คลาสสิโก้ (Chianti Classico) ที่ดีที่สุดทั้งในอดีตและปัจจุบัน  โดยมีนายคาร์โล แฟร์รินิ (Carlo Ferrini) เป็นที่ปรึกษาด้านการผลิต
              ไวน์ลา มาสซ่า  ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1997  ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 60 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์แมร์โล (Merlot) 30 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 10 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 15 เดือน และเก็บในขวด 12 เดือน
              ไวน์จอร์โจ้ ปริโม่  ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 2003  เนื่องจากนายจามเปาโล ม๊อตต้า (Giampaolo Motta) ตัดสินใจจะไม่ทำการผลิตไวน์เคียนติ คลาสสิโก้ จอร์โจ้ ปริโม่ (Chianti Classico Giorgio Primo) อีกต่อไป โดยยอมสลัดทิ้งความเป็น “DOCG” ทั้งนี้ก็เพราะต้องการทำไวน์ให้มีคุณภาพที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์การผลิตของคอนซอร์ซิโอ วิโน่ เคียนติ (Consorzio Vino Chianti) ที่กำหนดให้ใช้พันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์  โดยไวน์ตัวใหม่นี้จะใช้พันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) เพียงแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ส่วนที่เหลือใช้พันธุ์แมร์โล (Merlot) 40 เปอร์เซ็นต์ แต่งเติมด้วยพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) และพันธุ์เปอตี แวร์โด (Petit verdot) 10 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 18 เดือน และเก็บในขวด 12 เดือน
      
              ไวน์กราติอุส (Gratius) 
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน จาก บริษัท อิล โมลิโน่ ดิ เกรซ (Il Molino di Grace) ผู้ผลิตจากตำบลปันซาโน่ อิน เคียนติ (Comune di Panzano in Chianti) ของนายแฟรงค์ เกรซ (Frank Grace) ที่เข้ามาครอบครองที่ดินผืนนี้ตั้งแต่ปีค.ศ.1995  ซึ่งในระยะแรกได้ทำการปลูกองุ่นโดยไม่ใช้สารเคมีส่งขายให้กับผู้ผลิตไวน์ท้องถิ่น  และได้เริ่มทำการผลิตไวน์ของตนเองตั้งแต่วินเทจ 1999 เป็นต้นมา
              ไวน์ฉลากนี้มาจากฝีมือการเจียรนัยของด๊อกเตอร์ฟรังโก้ แบร์นาเบอิ (Dr.Franco Bernabei) ไวน์เมคเกอร์รุ่นใหญ่วัย 57 ปี แห่งแคว้นทัสคานี (Tuscany) ผู้รอบรู้ถึงคาแรคเตอร์ของพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) เป็นอย่างดี จนได้รับสมญาว่า มิสเตอร์ ซานโจเวเซ่  
              ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 100 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 12 เดือน และเก็บในขวดอีก 6 เดือน  
              
              ไวน์ซาน มาร์ติโน่ (San Martino)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน จาก บริษัท วิลล่า คาฟาจโจ้ (Villa Cafaggio) ผู้ผลิตจากตำบลปันซาโน่ อิน เคียนติ (Comune di Panzano in Chianti) ที่มีตำนานเล่าขานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15  เป็นหนึ่งในผู้ผลิตไวน์ที่มีการพัฒนาสายพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ที่เหมาะกับสภาพอากาศและสภาพดินในพื้นที่ของตัวเอง และเรียกชื่อว่า พันธุ์ซานโจเวเซ่ ตอสกาโน่ (Sangiovese toscano)
              ไม่ปรากฏว่าบุคคลใดเป็นผู้ก่อตั้ง แต่มีหลักฐานปรากฏให้เห็นว่าเมื่อตอนต้นศตวรรษที่ 19  ตกอยู่ในครอบครองของตระกูลบ๊อดดิ (Boddi family) ในปลายศตวรรษที่ 19 เป็นของตระกูลฟาร์กาส (Fargas family)  ตั้งแต่ปีค.ศ.2005 เป็นต้นมา ได้ถูกผนวกเข้าเป็นกิจการในเครือของ คันติน่า ลา-วิส เอ วัลเล่ ดิ เชมบร้า (Cantina La-Vis e Valle di Cembra) ของตระกูลจิเรลลิ (Girelli family)
              ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1985  ทำจากองุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ ตอสกาโน่ (Sangiovese toscano) 100 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 18 เดือน และเก็บในขวด 6 เดือน     

              ไวน์ซิงกาน่า (Tzingana)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน จาก บริษัท มอนเต้ แบร์นาดิ (Azienda Agricola Monte Bernardi) ผู้ผลิตจากตำบลปันซาโน่ อิน เคียนติ (Comune di Panzano in Chianti) ของตระกูลชเมลเซอร์ (Schmelzer family) ที่เข้ามาซื้อกิจการจากเจ้าของรายเดิมเมื่อปลายปีค.ศ.2003
              ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1994  โดยการผสมผสานองุ่นแดงพันธุ์แมร์โล (Merlot) 45 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) รวมกับพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 42 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือใช้พันธุ์เปอตี แวร์โด (Petit verdot)  ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ผู้ผลิตบอกว่าลงตัวที่สุด  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 18-22 เดือน และเก็บในขวด 6 เดือน            
        
              ไวน์เลโอเน่ ดิ คาร๊อบบิโอ (Leone di Carobbio)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน จาก บริษัท คาร๊อบบิโอ (Fattoria Carobbio) ของนายคาร์โล โนวาเรเซ่ (Carlo Novarese) ผู้ผลิตจากตำบลปันซาโน่ อิน เคียนติ (Comune di Panzano in Chianti) ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1990  เป็นฝีมือของนายลอเรนโซ่ ลานดิ (Lorenzo Landi) ไวน์เมคเกอร์ชื่อดังของแคว้นทัสคานี (Tuscany) โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 100 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 12 เดือน และเก็บในขวด 16 เดือน
             
              ไวน์คามาลาโยเน่ (Camalaione)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน จาก บริษัท เล ชินชิโอเล่ (Podere Le Cinciole) ของนายลูก้า ออร์ซินิ (Luca Orsini) ผู้ผลิตจากตำบลปันซาโน่ อิน เคียนติ (Comune di Panzano in Chianti)
              ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 70 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์ซีร่าห์ (Syrah) และพันธุ์แมร์โล (Merlot) อย่างละ 15 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 20 เดือน และเก็บในขวดอีก 12 เดือน  ผลิตเพียงแค่ 3,000 ขวด เท่านั้น
              ผู้ผลิตรายนี้ยังมีไวน์เคียนติ คลาสสิโก้ เล ชินชิโอเล่ (Chianti Cl. Le Cinciole) ที่ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 98 เปอร์เซ็นต์ เป็นไวน์ดีอีกฉลากหนึ่งอีกด้วย                  
             
              ไวน์เชปปาเรลโล่ (Cepparello) และ ไวน์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet Sauvignon) 
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน ของ บริษัท อิโซเล่ เอ โอเลน่า (Antiche Fattorie di Isole e Olena) ผู้ผลิตจากตำบลบาร์เบริโน่ วัล เดลซ่า (Comune di Barberino Val d’Elsa) กิจการของนายเปาโล เด มาร์คิ (Paolo de Marchi) หนุ่มใหญ่ชาวปิเอมอนเตเซ่ (Piemontese) ที่บรรพบุรุษอพยพมาอยู่ในถิ่นนี้ตั้งแต่ทศวรรษที่ 70
              ไวน์เชปปาเรลโล่ เริ่มผลิตตั้งแต่ทศวรรษที่ 80  โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 100 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 24 เดือน และเก็บในขวด 8 เดือน            
              ไวน์คาเบอร์เน่ โซวินยอง ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 100 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 18 เดือน และเก็บในขวด 12 เดือน       

              ไวน์อิล ปาเรโต้ (Il Pareto) 
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน ของ บริษัท ฟัตตอเรีย ดิ นอซโซเล่ (Fattoria di Nozzole) จากตำบลเกรเว่ อิน เคียนติ (Comune di Greve in Chianti) ของนายอัมโบรโจ้ โฟโลนาริ (Ambrogio Folonari) ผู้มีธุรกิจไวน์อยู่มากมาย ผู้เข้ามาซื้อกิจการจากเจ้าของรายเดิมเมื่อปีค.ศ.1971
              ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1985  ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 100 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 18 เดือน และเก็บในขวด 8 เดือน       
                
              ไวน์คามาร์ติน่า (Camartina)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน จาก บริษัท แควชาเบลล่า (Agricola Querciabella) ของนายเซบาสเตียโน่ คอสเซีย คาสติลิโอนิ (Sebastiano Cossia Castiglioni) ผู้ผลิตจากตำบลเกรเว่ อิน เคียนติ (Comune di Greve in Chianti)
              ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1981  ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 70 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 30 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 20-22 เดือน และเก็บในขวด 6 เดือน เป็นไวน์ที่เปรียบเสมือนเพ็ชรน้ำเอกของผู้ผลิตรายนี้ 
             
              ไวน์อิล คาร์โบนาโยเน่ (Il Carbonaione) และ ไวน์เปียนโตนาย่า (Piantonaia)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน จาก บริษัท โปเดเร่ ป๊อจโจ้ สคาเลตเต้ (Podere Poggio Scalette) ผู้ผลิตจากตำบลเกรเว่ อิน เคียนติ (Comune di Greve in Chianti) ของนายวิตตอริโอ ฟิโอเร่ (Vittorio Fiore) 
              ไวน์อิล คาร์โบนาโยเน่ ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 100 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 20-22 เดือน และเก็บบ่มในขวด 6 เดือน  วินเทจ 2001 เป็นวินเทจที่ดีที่สุด             
              ไวน์เปียนโตนาย่า ที่ตามหลังออกมาไม่นานนัก ทำจากองุ่นแดงพันธุ์แมร์โล (Merlot) 100 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 18 เดือน และเก็บในขวด 6 เดือน  วินเทจ 2004 และ 2005  จะโดดเด่นมากที่สุด
                    
              ไวน์วินย่ามาจโจ้ (Vignamaggio)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน ของ บริษัท วิลล่า วินย่ามาจโจ้  (Villa Vignamaggio) ผู้ผลิตจากตำบลเกรเว่ อิน เคียนติ (Comune di Greve in Chianti) ของนายจานนิ นุนซิอันเต้ (Gianni Nunziante) ซึ่งเข้าไปซื้อจากเจ้าของรายเดิมเมื่อปีค.ศ.1988  โดยมีปราสาทหลังใหญ่ตั้งอยู่ด้วย
              เดิมทีผู้ผลิตไวน์รายนี้เป็นของตระกูลเกราร์ดินิ (Gherardini family) ตระกูลเก่าแก่แห่งแคว้นทัสคานี (Tuscany) ที่มีประวัติความเป็นมานานกว่า 600 ปี ดังปรากฏหลักฐานทางเอกสารที่กล่าวถึงจดหมายของนายอามิโด เกราร์ดินิ (Amido Gherardini) ลงวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ.1404  ที่กล่าวว่า "vino inbotato a Vignamagio"  ซึ่งมีความหมายว่า ไวน์เก็บไว้ในถังที่วินย่ามาจโจ้                        
              ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหาได้ไม่มากนักสำหรับไวน์อิตาเลียน
             
              ไวน์โรมิโตริโอ ดิ ซานเตดาเม่ (Romitorio di Santedame) และ ไวน์โมดุส (Modus)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน ของ บริษัท รุฟฟิโน่ (Tenimenti Ruffino) จากตำบลปอสตัสซิเอเว่ (Comune di Pontassieve) ผู้ผลิตไวน์รายใหญ่ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปีค.ศ.1877  โดยนายอิลาริโอ รุฟฟิโน่ (Illario Ruffino) ซึ่งครอบครองพื้นที่ 1,500 เฮ็คต้าร์ ในแคว้นทัสคานี (Tuscany) และ 30 เฮ็คต้าร์ ในแคว้นฟริอูลิ-เวเนเซีย จูเลีย (Friuli-Venezia Giulia)  เป็นผู้ผลิตไวน์รายแรกที่ทำการวิจัยและทดลองปลูกองุ่นแดงพันธุ์โคโลริโน่ (Colorino) ในประเทศอิตาลี                   
              ไวน์โรมิโตริโอ ดิ ซานเตดาเม่  ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1990  มีส่วนผสมจากองุ่นแดงพันธุ์โคโลริโน่ (Colorino) 60 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์แมร์โล (Merlot) 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งต้นองุ่นส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 40 ปี และสัดส่วนนี้จะคงที่ในทุกวินเทจ  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 18 เดือน จากนั้นน้ำไวน์จากองุ่นทั้งสองชนิดจะถูกนำไปเก็บบ่มรวมกันในถังเหล็กไร้สนิม (stainless steel tank) อีกระยะเวลาหนึ่งและเมื่อทำการบรรจุขวดแล้วก็จะเก็บในขวดอีก 12 เดือน  ไวน์มีสีเข้มลึกและมีแทนนินหนาเตอะจากอิทธิพลขององุ่นพันธุ์โคโลริโน่ (Colorino) ที่มีการพัฒนามานานกว่า 30 ปี
              ไวน์โมดุส  ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1997  ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 50 เปอร์เซ็นต์ ผสมผสานกับพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) และพันธุ์แมร์โล (Merlot) อย่างละ 25 เปอร์เซ็นต์ ในสัดส่วนที่คงที่ในทุกวินเทจเช่นเดียวกัน  มีการเก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 16-18 เดือน จากนั้นน้ำไวน์จากองุ่นทั้งสองชนิดจะถูกนำไปเก็บบ่มรวมกันในถังเหล็กไร้สนิม (stainless steel tank) อีกระยะเวลาหนึ่งเช่นเดียวกันกับไวน์โรมิโตริโอ ดิ ซานเตดาเม่ (Romitorio di Santedame) และเมื่อทำการบรรจุขวดแล้วก็จะเก็บในขวดอีก 8 เดือน 
             
              ไวน์รอซโซ่ ดิ เซร่า (Rosso di Sera)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน ของ บริษัท ป๊อจโจ้เปียโน (Fattoria Poggiopiano) ของตระกูลบาร์โตลิ (Bartoli family) ผู้ผลิตรายเล็กๆ จากตำบลซาน คาสชาโน่ อิน วัล ดิ เปซ่า (Comune di San Casciano in Val di Pesa) ที่ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ.1993  มีพื้นที่ปลูกองุ่นเพียง 17 เฮ็คต้าร์ เท่านั้น
              ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1995  ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 90 เปอร์เซ็นต์ ผสมผสานกับพันธุ์โคโลริโน่ (Colorino) 10 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังไม้โอ๊กขนาดใหญ่ เป็นเวลา 14 เดือน และเก็บในขวดอีก 8 เดือน   
          
              ไวน์จิรามอนเต้ (Giramonte)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน ของ บริษัท คาสติลิโอนิ (Tenuta di Castiglioni) ผู้ผลิตจากตำบลมอนเต้สแปร์โตลิ (Comune di Montespertoli) หนึ่งในธุรกิจของบริษัท มาร์เคสิ เด เฟรสโคบาลดิ (Marchesi de’ Frescobaldi)  เป็นไวน์ระดับครูส์ (crus) ที่ใช้องุ่นจากไร่ปลูกแห่งเดียว (single vineyard)  มีการผลิตในปริมาณจำกัด (limited edition)  ใช้องุ่นแดงพันธุ์แมร์โล (Merlot) 80 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 20 เปอร์เซ็นต์ ในสัดส่วนเดียวกันทุกวินเทจ  มีการเก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) ใหม่เป็นเวลา 15 เดือน และเก็บในขวดอีก 8 เดือน
             
              ไวน์อิล คอร์ซาโน่ (Il Corzano)
               เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน ของ บริษัท คอร์ซาโน่ เอ ปาแตร์โน (Fattoria Corzano e Paterno) ผู้ผลิตจากตำบลซาน คาสชาโน่ อิน วัล ดิ เปซ่า (Comune di San Casciano in Val di Pesa) ของตระกูลเกลพ์เก้ (Gelpke family) และตระกูลโกลด์ชมิดต์ (Goldschmidt family) จากสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเข้ามาซื้อไร่ปลูกคอร์ซาโน่ (Corzano vineyard) พื้นที่ 140 เฮ็คต้าร์ ในปีค.ศ.1969 และซื้อปราสาทวิลล่า ปาแตร์โน (Villa Paterno) ในปีค.ศ.1974
              ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1987  ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 45 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 40 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์แมร์โล (Merlot) 15 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 14 เดือน และเก็บในขวดอีก 6 เดือน

              ไวน์โคโลเร่ (Colore) และ ไวน์เตสตามัตต้า (Testamatta)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน ของ บริษัท บิบิ เกรทซ์ (Bibi Graetz) ของนายบิบิ เกรทซ์ (Bibi Graetz) ผู้ผลิตรายเล็กๆ จากตำบลฟิเอโซเล่ (Comune di Fiesole) ที่มีพื้นที่ปลูกเพียงแค่ 15 เฮ็คต้าร์ แต่มีต้นองุ่นเก่าแก่ที่มีอายุ 60 ปี เป็นหนึ่งในไวน์อิตาเลียนที่มีราคาแพงมาก
              ไวน์โคโลเร่ ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 2004  ใช้องุ่นแดงพันธุ์โคโลริโน (Colorino) และพันธุ์คานายโยโล่ (Canaiolo) และพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) อย่างละเท่าๆ กัน เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) ใหม่เป็นเวลา 15 เดือน และเก็บในขวดอีก 8 เดือน  ไวน์จากวินเทจ 2005  ได้ 95 คะแนน จากนิตยสารไวน์สเปคเตเตอร์ (Wine Spectator Magazine)
              ไวน์เตสตามัตต้า  ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 2000 ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 100 เปอร์เซ็นต์  มีการเก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 20 เดือน  ไวน์จากวินเทจ 2007  ได้เรตติ้ง 95 คะแนน จากนิตยสารไวน์สเปคเตเตอร์ (Wine Spectator Magazine) และ 93 คะแนน จากนิตยสารไวน์แอดโวเคต (Wine Advocate Magazine) 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น