วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เจาะลึกไวน์จากแคว้นทัสคานี : ไวน์จากเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo)


                                     ไวน์จากเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo)



              เมืองอาเรซโซ่ (Arezzo)  เป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองฟลอเรนซ์ (Florence)  ซึ่งรวมเอา 39 ชุมชน เข้าไว้ด้วยกัน  มีพื้นที่ประมาณ 3,235 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 349,082 คน (ค.ศ.2010)
              ไวน์จากเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) มีไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) 2 เขต และมีไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) ชั้นดีอีกมากมายทีเดียว
              ไวน์คอร์โตน่า (Cortona)
              ไวน์คอร์โตน่า (Cortona) เป็นไวน์ในเขตดีโอซี.(DOC) ที่กำหนดขึ้นเมื่อปีค.ศ.1999  แหล่งผลิตไวน์อยู่ในตำบลคอร์โตน่า (Comune di Cortona) เขตเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) ซึ่งเป็นชุมชนที่เก่าแก่แห่งหนึ่งที่เคยเป็นถิ่นฐานของชาวเอทรัสกัน (Etruscans) เมื่อปีที่ 8 ก่อนคริสตกาล
              ไวน์ที่ผลิตเป็นไวน์แดง (Vino Rosso) ไวน์โรซาโต้ (Rosato) ไวน์ขาว (Vino Bianco) ไวน์วิน ซานโต้ (Vin Santo) และไวน์วิน ซานโต้ อ๊อคคิโอ ดิ แปร์นิเช่ (Vin Santo Occhio di Pernice)  การผลิตไวน์จะอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์การผลิตของ คอนซอร์ซิโอ ดิ ตูเตล่า เดอิ วินิ คอร์โตน่า (Consorzio di Tutela dei Vini Cortona)  โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1.  ไวน์คอร์โตน่า รอซโซ่ (Cortona Rosso) ชนิดธรรมดา ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) พันธุ์กาเมย์ (Gamay) พันธุ์แมร์โล (Merlot) พันธุ์ปิโน เนโร (Pinot nero) พันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) พันธุ์ซีร่าห์ (Syrah) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในเขตเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) ไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์
2.  ไวน์คอร์โตน่า เบียงโค่ (Cortona Bianco) ชนิดธรรมดา ใช้องุ่นเขียวพันธุ์ชาร์ดอนเน่ (Chardonnay) พันธุ์เกรเคตโต้ (Grechetto) พันธุ์ปิโน เบียงโค่ (Pinot bianco) พันธุ์รีสลิ่ง อิตาลิโค่ (Riesling Italico) พันธุ์โซวินยอง บลอง (Sauvignon blanc) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในเขตเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) ไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์
3.  ไวน์คอร์โตน่า โรซาโต้ (Cortona Rosato) ชนิดธรรมดา ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 40-60 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คานายโยโล่ เนโร (Canaiolo nero) 10-30 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในเขตเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์
4.  ไวน์คอร์โตน่า วิน ซานโต้ (Cortona Vin Santo) ชนิดธรรมดา และ “Riserva” ใช้องุ่นเขียวพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) พันธุ์เกรเคตโต้ (Grechetto) พันธุ์มาลวาเซีย เบียงค่า ลุงก้า (Malvasia bianca lunga) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่น้อยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในเขตเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) ไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์
5.  ไวน์คอร์โตน่า วิน ซานโต้ อ๊อคคิโอ้ ดิ แปร์นิเช่ ชนิดธรรมดา (Cortona Vin Santo Occhio di Pernice) ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) พันธุ์มาลวาเซีย เนร่า (Malvasia nera) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่น้อยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในเขตเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) ไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์
              ผู้ผลิตไวน์คอร์โตน่า (Cortona Wine Producers)        
              บริษัท ลุยจิ ดาเลสซานโดร (Tenimenti Luigi D’Alessandro) ของนายมัสซิโม่ ดาเลสซานโดร (Massimo D’Alessandro) และนายจุยเซ๊ปเป้ คาลาเบรสิ  (Giuseppe Calabresi) เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีผลผลิตปีละประมาณ 200,000 ขวด  ทำไวน์คอร์โตน่า อิล บอสโก้ (Cortona Il Bosco) โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์ซีร่าห์ (Syrah) 100 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 18 เดือน
              ส่วนไวน์คอร์โตน่า ซีร่าห์ (Cortona Syrah) ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซีร่าห์ (Syrah) 100 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกัน  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 12 เดือน
              บริษัท ฟาบริซิโอ้ ดิโอนิซิโอ้ (Fabrizio Dionisio) ของนายฟาบริซิโอ้ ดิโอนิซิโอ้ (Fabrizio Dionisio)  ทำไวน์คอร์โตน่า ซีร่าห์ (Cortona Syrah) โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์ซีร่าห์ (Syrah) 100 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 16 เดือน  เป็นไวน์ธงของผู้ผลิตรายนี้
            
              ไวน์วัลดิเคียน่า (Valdichiana)
              ไวน์วัลดิเคียน่า (Valdichiana) เป็นไวน์ในเขตดีโอซี.(DOC) ที่กำหนดขึ้นเมื่อปีค.ศ.1989  แหล่งผลิตไวน์อยู่ใน 11 ชุมชน เขตเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) และเขตเมืองซิเอน่า (Siena)
              เมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) ผลิตอยู่ใน 7 ชุมชน ซึ่งประกอบด้วย
              ตำบลคอร์โตน่า (Comune di Cortona) ตำบลโฟยาโน่ (Comune di Foiano) ตำบลลูชินยาโน่ (Comune di Lucignano) ตำบลคาสติลิโอน ฟิออเรนติโน่ (Comune di Castiglion Fiorentino) ตำบลมาร์ชาโน่ (Comune di Marciano) ตำบลมอนเต้ ซาน ซาวิโน่ Comune di Monte San Savino) และตำบลชิวิเตลล่า วัล ดิ เคียน่า (Comune di Civitella Val di Chiana)
              เมืองซิเอน่า (Siena) ผลิตอยู่ใน 4 ชุมชน ซึ่งประกอบด้วย
              ตำบลมอนเต้ปูลชาโน่ (Comune di Montepulciano) ตำบลซินาลุงก้า (Comune di Sinalunga) ตำบลตอร์ริต้า (Comune di Torrita) และตำบลคิอูสิ (Comune di Chiusi)
              มีการผลิตทั้งไวน์แดง (Vino Rosso) ไวน์ขาว (Vino Bianco) ไวน์ขาวมีฟองเล็กน้อย (Vino frizzante) ไวน์ขาวมีฟอง (Vino spumante) ไวน์โรซาโต้ (rosato) และไวน์หวานวิน ซานโต้ (Vin Santo)  การผลิตไวน์จะอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์การผลิตของ คอนซอร์ซิโอ ตูเตล่า วินิ วัลดิเคียน่า (Consorzio Tutela Vini Valdichiana)  โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1.  ไวน์วัลดิเคียน่า รอซโซ่ (Valdichiana Rosso) และไวน์วัลดิเคียน่า โรซาโต้ (Valdichiana Rosato) ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์แมร์โล (Merlot) พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) พันธุ์ซีร่าห์ (Syrah) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในเขตเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) และเขตเมืองซิเอน่า (Siena) ไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์  หากเป็นชนิดโมโนวาไรทัล (mono varietal) ให้ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในเขตเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) และเขตเมืองซิเอน่า (Siena) ไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์
2.  ไวน์วัลดิเคียน่า เบียงโค่ (Valdichiana Bianco) ชนิดธรรมดา ไวน์วัลดิเคียน่า ฟริซซานเต้ (Valdichiana Frizzante) ชนิดธรรมดา และไวน์วัลดิเคียน่า สปูมานเต้ (Valdichiana Spumante) ชนิดธรรมดา ใช้องุ่นเขียวพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) ไม่น้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์ชาร์ดอนเน่ (Chardonnay) พันธุ์เกรเคตโต้ (Grechetto) พันธุ์ปิโน เบียงโค่ (Pinot bianco) พันธุ์ปิโน กริโจ้ (Pinot grigio) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่เกิน 80 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในเขตเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) และเขตเมืองซิเอน่า (Siena) ไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์  หากเป็นชนิดโมโนวาไรทัล (mono varietal) ให้ใช้องุ่นเขียวพันธุ์ชาร์ดอนเน่ (Chardonnay) พันธุ์เกรเคตโต้ (Grechetto) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในเขตเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) และเขตเมืองซิเอน่า (Siena) ไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์
3.  ไวน์วัลดิเคียน่า วิน ซานโต้ (Valdichiana Vin Santo) ชนิดธรรมดา และ “Riserva” ใช้องุ่นเขียวพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) พันธุ์มาลวาเซีย เบียงค่า ลุงก้า (Malvasia bianca lunga) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในเขตเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) และเขตเมืองซิเอน่า (Siena) ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์
              ผู้ผลิตไวน์วัลดิเคียน่า (Valdichiana Wine Producers)
              บริษัท คาซาลิ อิน วัล ดิ คิโอ (Casali in Val di Chio)  ผู้ผลิตรายเล็กๆ จากตำบลคาสติลิโอน ฟิออเรนติโน่ (Comune di Castiglion Fiorentino) เมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) ทำไวน์แดงวัลดิเคียน่า (Valdichiana) ได้ดีพอควร  มีไวน์วัลดิเคียน่า อาร์โรเน่ (Valdichiana Arrone) เป็นตัวชูโรง
             
              ไวน์ซูเปอร์ทัสกัน จากเมืองอาเรซโซ่ (SuperTuscans from Arezzo)
              ไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) จากเมืองอาเรซโซ่ (Arezzo) แม้จะมีอยู่ไม่มากนัก แต่ก็เป็นไวน์ที่รู้จักกันโดยทั่วไป
              ไวน์กาลาโตรน่า (Galatrona)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) จาก บริษัท ฟัตตอเรีย ดิ เปโตรโล่ (Fattoria di Petrolo) แห่งตำบลแมร์คาตาเล่ วัลดาร์โน่ (Comune di Mercatale Valdarno) ของตระกูลบาซซ๊อคคี่ (Bazzocchi family) เป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์บนที่ดินผืนนี้มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 40   มีไร่ปลูกองุ่นอยู่บนเนินเขาอาเรตินิ (Aretini hills) ที่มีความสูง 250-400 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลท่ามกลางความเขียวขจีของป่าสนและต้นโอ๊ก ซึ่งบนยอดสูงสุดของเนินเขาจะมี ตอร์เร่ ดิ กาลาโตรน่า (Torre di Galatrona) หรือ หอคอยแห่งกาลาโตรน่า (Tower of Galatrona) ยืนตระหง่านมานานหลายร้อยปี  ได้ตั้งชื่อไวน์ตัวเอกนี้ตามชื่อของหอคอย   
              ใช้องุ่นแดงพันธุ์แมร์โล (Merlot) 100 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 14 เดือน และเก็บบ่มในขวดอีก 12 เดือน 

              ไวน์โอเรโน่ (Oreno) ไวน์ป๊อจโจ้ อัล ลูโป้ (Poggio al Lupo) และ ไวน์โครนโยโล่ (Crognolo)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) จาก บริษัท เซตเต้ ปอนติ (Tenuta Sette Ponti)  แห่งตำบลคาสติโยน ฟิบ๊อคคิ (Comune di Castiglion Fibocchi) ของนายอันโตนิโอ โมเรตติ (Antonio Moretti)
              ไวน์โอเรโน่  ใช้องุ่นแดงพันธุ์แมร์โล (Merlot) พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) และพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese)  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 12 เดือน 
              ไวน์ป๊อจโจ้ อัล ลูโป้  ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 73 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์อลิคันเต้ (Alicante) 20 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์เปอตี แวร์โด (Petit verdot) 7 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 6 เดือน
              ไวน์โครนโยโล่  เป็นไวน์ซานโจเวเซ่-เบส (Sangiovese -based) ที่แต่งเติมด้วยพันธุ์แมร์โล (Merlot) เพียงเล็กน้อย เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 6 เดือน

              ไวน์อิล บอร์โร่ (Il Borro)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) จาก บริษัท อิล บอร์โร่ (Il Borro) แห่งตำบลโลโร่ ชุฟเฟนน่า (Comune di Loro Ciuffenna) ของนายแฟร์รุชโช่ แฟร์รากาโม่ (Ferruccio Ferragamo) ที่ซื้อจากเจ้าของเดิมในปีค.ศ.1985
              ใช้องุ่นแดงพันธุ์แมร์โล (Merlot) 50 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 35 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์ซีร่าห์ (Syrah) 10 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์เปอตี แวร์โด (Petit verdot) 5 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มแยกจากกันในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 18 เดือน จากนั้นน้ำไวน์จากองุ่นทั้ง 4 ชนิด จะถูกนำไปรวมกันในถังเหล็กไร้สนิมเป็นเวลา 1 เดือน และเมื่อบรรจุขวดแล้วจะเก็บบ่มในขวดอีก 6 เดือน

              ไวน์อิล คาเบอร์ล๊อต (Il Caberlot)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) จาก บริษัท อิล คาร์นาสชาเล่ (Podere Il Carnasciale) แห่งตำบลแมร์คาตาเล่ วัลดาร์โน่ (Comune di Mercatale Valdarno) ของนางเบตติน่า โรโกสกี้ (Bettina Rogosky) ผู้ผลิตไวน์รายเล็กๆ ที่ทำไวน์ปีละ 2,500 ขวด
              นางเบตติน่า โรโกสกี้ (Bettina Rogosky) สาวใหญ่ชาวเยอรมันนีผู้จบการศึกษาด้านแฟชั่นดีไซน์ (Fashion Design) เริ่มต้นมาเกี่ยวข้องกับไวน์เมื่อปีค.ศ.1986  เมื่อสามีชาวเยอรมันนีของนางได้รับใบอนุญาตให้ทำการผลิตไวน์ในชนบทที่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้โดยได้รับคำแนะนำด้านการปลูกองุ่นจากนายเรมิโจ้ บอร์ดินิ (Remigio Bordini) และการทำไวน์จากนายวิตตอริโอ ฟิออริ (Vittorio Fiori)  
              หลังจากที่สามีเสียชีวิตในปีค.ศ.1994  นางเบตติน่า โรโกสกี้ (Bettina Rogosky) จึงทำหน้าเป็นไวน์เมคเกอร์ด้วยตนเอง โดยมีลูกชายทั้งสองเป็นผู้ช่วย
              ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1988  ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) ผสมกับพันธุ์แมร์โล (Merlot)  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 18 เดือน และเมื่อบรรจุขวดแล้วจะเก็บบ่มในขวดอีก 18 เดือน 

เจาะลึกไวน์จากแคว้นทัสคานี : ไวน์จากเมืองปิซ่า (Pisa)


                                             ไวน์จากเมืองปิซ่า (Pisa)


              เมืองปิซ่า (Pisa) เป็นเมืองขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งของแคว้นทัสคานี (Tuscany) ซึ่งรวมเอา 39 ชุมชนเล็กๆ เข้าไว้ด้วยกัน  เป็นชุมชนที่มีความเจริญรุ่งเรืองในยุคกลาง (Middle Ages) ซึ่งชาวปิซาเน่ (Pisane) มีอำนาจทางทะเลในบริเวณทะเลลิกูเรียน (Ligurian Sea)  และเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลที่สำคัญในคาบสมุทรอิตาลี (Italian Peninsula)
              มีพื้นที่ประมาณ 2,444 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 411,376 คน (ค.ศ.2009)  นักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกรู้จักเมืองนี้ในมิติของ หอเอนแห่งเมืองปิซ่า (The Leaning Tower of Pisa) ที่อยู่ในบริเวณจตุรัสแห่งมหาวิหาร (Piazza del Duomo) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (World Heritage) ลำดับที่ 395  จากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เมื่อปีค.ศ.1987
              ไวน์จากเมืองปิซ่า (Pisa) ไม่มีไวน์เกรดดีโอซีจี.(DOCG) จะมีแต่ไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) และไวน์ตอสกาน่า ไอจีที.(Toscana IGT)  เท่านั้น
              ไวน์มอนเต้สคูดาโย่ (Montescudaio)
              ไวน์มอนเต้สคูดาโย่ (Montescudaio) เป็นไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) ที่กำหนดขึ้นเมื่อปีค.ศ.1989  แหล่งผลิตอยู่ใน 7 ชุมชน เขตเมืองปิซ่า (Pisa) ซึ่งประกอบด้วย
              ตำบลมอนเต้สคูดาโย่ (Comune di Montescudaio) ตำบลคาซาเล่ มาริตติโม่ (Comune di Casale Marittimo) ตำบลกวาร์เดียสตัลโล่ (Comune di Guardiastallo) ตำบลคาสเตลลิน่า มาริตติม่า (Comune di Castellina Marittima) ตำบลมอนเต้คาตินิ วัล ดิ เชชิน่า (Comune di Montecatini Val di Cecina) ตำบลซานตา ลูเช่ (Comune di Santa Luce) และตำบลริปาร์เบลล่า (Comune di Riparbella)  
              มีการผลิตทั้งไวน์แดง (Vino Rosso) ไวน์ขาว (Vino Bianco) และไวน์วิน ซานโต้ (Vin Santo)              
การผลิตไวน์จะอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์การผลิตของ คอนซอร์ซิโอ ตูเตล่า วิโน่ มอนเต้สคูดาโย่ (Consorzio Tutela Vino Montescudaio)  โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1.  ไวน์มอนเต้สคูดาโย่ รอซโซ่ (Montescudaio Rosso) ชนิดธรรมดา และ “Riserva” ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในเมืองปิซ่าา (Pisa) ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์  หากเป็นชนิดโมโนวาไรทัล (mono varietal) ให้ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) พันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) พันธุ์แมร์โล (Merlot) พันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในเมืองปิซ่า (Pisa) ไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์
2.  ไวน์มอนเต้สคูดาโย่ เบียงโค่ (Montescudaio Bianco) ชนิดธรรมดา และไวน์มอนเต้สคูดาโย่ วิน ซานโต้ (Montescudaio Vin Santo) ชนิดธรรมดา ใช้องุ่นเขียวพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในเมืองปิซ่าา (Pisa) ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์  หากเป็นชนิดโมโนวาไรทัล (mono varietal) ให้ใช้องุ่นเขียวพันธุ์แวร์เมนติโน่ (Vermentino) พันธุ์ชาร์ดอนเน่ (Chardonny) พันธุ์โซวินยอง บลอง (Sauvignon blanc) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในเมืองปิซ่า (Pisa) ไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์
              ผู้ผลิตไวน์มอนเต้สคูดาโย่ (Montescudaio Wine Producers)            
              ผู้ผลิตไวน์มอนเต้สคูดาโย่ (Montescudaio) ที่โดดเด่นจะอยู่ในตำบลริปาร์เบลล่า (Comune di Riparbella) ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองปิซ่า (Pisa)
              บริษัท ลา เรโกล่า (Podere La Regola) จากตำบลริปาร์เบลล่า (Comune di Riparbella) เป็นกิจการของตระกูลนูติ (Nuti family) ที่ก่อตั้งมาเกือบ 100 ปี  ทำไวน์มอนเต้สคูดาโย่ รอซโซ่ ลา เรโกล่า (Montescudaio Rosso La Regola) โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 85 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์แมร์โล (Merlot) 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือจะใช้พันธุ์เปอตี แวร์โด (Petit verdot)  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 12 เดือน
              ไวน์มอนเต้สคูดาโย่ รอซโซ่ วัลลิโน่ (Montescudaio Rosso Vallino) ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 85 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือจะใช้พันธุ์ซีร่าห์ (Syrah)  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 12 เดือน และเก็บบ่มในขวด 6 เดือน

              ไวน์เบียงโค่ ปิซาโน่ ดิ ซาน ตอร์เป้ (Bianco Pisano di San Torpè)
              ไวน์เบียงโค่ ปิซาโน่ ดิ ซาน ตอร์เป้ (Bianco Pisano di San Torpè) เป็นไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) ที่กำหนดขึ้นเมื่อปีค.ศ.1980  แหล่งผลิตอยู่ใน 18 ชุมชน เขตเมืองปิซ่า (Pisa) และเมืองลิวอร์โน่ (Livorno)
              เมืองปิซ่า (Pisa) ผลิตอยู่ใน 17 ชุมชน ซึ่งประกอบด้วย
              ตำบลคาสชาน่า แตร์เม่ (Comune di Casciana Terme) ตำบลคาสชิน่าฟาอูเยีย (Comune di Cascina Fauglia) ตำบลคาปันโนริ (Comune di Capannori) ตำบลเคียนิ (Comune di Chiani) ตำบลเครสปิน่า (Comune di Crespina) ตำบลลายาติโค่ (Comune di Lajatico) ตำบลลาริ (Comune di Lari) ตำบลลอเรนซาน่า (Comune di Lorenzana) ตำบลมอนโตโปลิ วัลดาโน่ (Comune di Montopoli Valdarno) ตำบลปาลาย่า (Comune di Palaia) ตำบลเปชโชลิ (Comune di Peccioli) ตำบลปอนซัคโค่ (Comune di Ponsacco) ตำบลซาน มิเนียโต้ (Comune di San Miniato) ตำบลซานต้า ลูเช่ (Comune di Santa Luce) ตำบลแตร์ริชโชล่า (Comune di Terricciola)  พื้นที่บางส่วนของตำบลคาสชิน่า (Comune di Cascina) และตำบลปอนเต้เดร่า (Comune di Pontedera)  
              เมืองลิวอร์โน่ (Livorno) ผลิตอยู่ในตำบลคอลเล่ซัลเวตติ (Comune di Collesalvetti)
              มีการผลิตทั้งไวน์ขาว (Vino Bianco) และไวน์วิน ซานโต้ (Vin Santo)  การผลิตไวน์จะอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์การผลิตของ คอนซอร์ซิโอ ตูเตล่า วิโน่ เบียงโค่ ปิซาโน่ ดิ ซาน ตอร์เป้ (Consorzio Tutela Vino Bianco Pisano di San Torpè)  โดยมีสาระสำคัญว่า ไวน์เบียงโค่ ปิซาโน่ ดิ ซาน ตอร์เป้ (Bianco Pisano di San Torpè) ชนิดธรรมดา และไวน์เบียงโค่ ปิซาโน่ ดิ ซาน ตอร์เป้ วิน ซานโต้ (Bianco Pisano di San Torpè Vin Santo) ชนิดธรรมดา และ “Riserva”  ใช้องุ่นเขียวพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) ไม่น้อยกว่า 75 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในในเมืองปิซ่า (Pisa) และเมืองลิวอร์โน่ (Livorno) ไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์
 
              ไวน์ซูเปอร์ทัสกัน จากเมืองปิซ่า (SuperTuscans from Pisa)
              ในเมืองปิซ่า (Pisa)  มีไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) ที่ผลิตออกมาหลากหลายเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไวน์ที่ผลิตขึ้นมาไม่นานมานี้   
              ไวน์ลูปิกาย่า (Lupicaia) และ ไวน์คาสเตลโล่ เดล แตร์ริชโช่ (Castello del Terriccio)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) จาก บริษัท คาสเตลโล่ เดล แตร์ริชโช่ (Castello del Terriccio) จากตำบลคาสเตลลิน่า มาริตติม่า (Comune di Castellina Marittima)  ก่อตั้งโดยตระกูลกาเอตานิ (Gaetani family) ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 13 ต่อมาตกไปอยู่ในครอบครองของเจ้าชายโปเนียทอฟสกี้ (Poniatowski) แห่งประเทศโปแลนด์ และเปลี่ยนมือเป็นของหลายตระกูล 
              จนในที่สุดตกเป็นของตระกูลแฟร์ริ (Ferri family) เมื่อปีค.ศ.1923  ปัจจุบันอยู่ในความรับชอบของนายจาน อันนิบาเล่ เมเดลาน่า แฟร์ริ (Gian Annibale Medelana Ferri) บุรุษเหล็กผู้นั่งอยู่บนวีลแชร์ โดยมีด๊อกเตอร์คาร์โล แฟร์รินิ (Dr.Carlo Ferrini) เป็นที่ปรึกษาด้านการผลิต             
              ไวน์ลูปิกาย่า  ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1991  ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 90 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์แมร์โล (Merlot) 10 เปอร์เซ็นต์  แต่นับจากวินเทจ 2003 เป็นต้นไปจะนำเอาพันธุ์เปอตี แวร์โด (Petit verdot) เข้ามาแทนที่พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 5 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) 18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 10 เดือน
              ไวน์คาสเตลโล่ เดล แตร์ริชโช่ ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 2000  ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซีร่าห์ (Syrah) 50 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์เปอตี แวร์โด (Petit verdot) 25 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์มูร์แวร์ด (Mourvedre) 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) 18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 16 เดือน
             
              ไวน์เวเนโรโซ่ (Veneroso) และ ไวน์นัมบร๊อท (Nambrot)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) จาก บริษัท กิซซาโน่ (Tenuta di Ghizzano) ซึ่งก่อตั้งเมื่อปีค.ศ.1985 ในตำบลเปชโชลิ (Comune di Peccioli)  เป็นกิจการของตระกูลเวเนโรสิ เปสโชลินิ (Venerosi Pesciolini family) ตระกูลเก่าแก่แห่งแคว้นทัสคานี (Tuscany) ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในตำบลกิซซาโน่ (Comune di Ghizzano) เมื่อปีค.ศ.1370  ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของนางจิเนฟร่า เวเนโรสิ เปสโชลินิ (Ginevra Venerosi Pesciolini)
              ไวน์เวเนโรโซ่ ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1985  ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 70 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวิญยอง (Cabernet sauvignon) 30 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) 16 เดือน และเก็บบ่มในขวด 12 เดือน
              ไวน์นัมบร๊อท ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1996  ซึ่งในวินเทจแรกๆ จะมีส่วนผสมขององุ่นแดงพันธุ์แมร์โล (Merlot) และพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon)   แต่นับจากวินเทจ 2000 เป็นต้นไปจะใช้พันธุ์แมร์โล (Merlot) 70 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 20 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์เปอตี แวร์โด (Petit verdot) 10 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) 18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 4 เดือน
             
              ไวน์ดัลคามาร่า (Dulcamara) และ ไวน์แปร์บรูโน่ (PerBruno)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) จาก บริษัท อิ จุสติ เอ ซานซ่า (I Giusti e Zanza)  แห่งตำบลฟาอูเยีย (Comune di Fauglia) ผู้ผลิตไวน์รายเล็กๆ บนพื้นที่ 35 เฮ็คต้าร์ กิจการของนายเปาโล จุสติ (Paolo Giusti) ที่ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ.1995  
              ไวน์ดัลคามาร่า  ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1996  ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 70 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์แมร์โล (Merlot) 30 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังไม้โอ๊กขนาด 300 ลิตร 18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 12 เดือน
              ไวน์แปร์บรูโน่  ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 2003  ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซีร่าห์ (Syrah) 100 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังไม้โอ๊กขนาด 300 ลิตร เป็นเวลา 12 เดือน และเก็บบ่มในขวด 6 เดือน

เจาะลึกไวน์จากแคว้นทัสคานี : ไวน์จากเมืองปราโต้ (Prato)


                                            ไวน์จากเมืองปราโต้ (Prato)


              เมืองปราโต้ (Prato) เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอ (Textile Industry) และเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอาหารของประเทศ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองฟลอเรนซ์ (Florence)  แม้ว่าจะเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีพื้นที่เพียงแค่ 365 ตารางกิโลเมตร แต่มีประชากรมากถึง 249,930 คน (ค.ศ.2010)
              ไวน์จากเมืองปราโต้ (Prato)  จะมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ในแคว้นทัสคานี (Tuscany)  แต่ก็ยังมีไวน์เกรดดีโอซีจี.(DOCG) ให้เป็นที่เชิดหน้าชูตาได้บ้าง
              ไวน์คาร์มินยาโน่ (Carmignano)  
              ไวน์คาร์มินยาโน่ (Carmignano) เป็นไวน์ในเขตดีโอซีจี.(DOCG) ที่ยกระดับขึ้นเมื่อปี..1998  ก่อนหน้านั้นถูกกำหนดให้เป็นเขตดีโอซี.(DOC) ตั้งแต่ปีค..1975  แหล่งผลิตจะอยู่ในตำบลคาร์มินยาโน่ (Comune di Carmignano) และตำบลป๊อจโจ้ อะ คายาโน่ (Comune di Poggio a Caiano) เขตเมืองปราโต้ (Prato)  การผลิตไวน์จะอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์การผลิตของ คอนซอร์ซิโอ ดิ ตูเตล่า เดอิ วินิ ดิ คาร์มินยาโน่ (Consorzio di Tutela dei Vini di Carmignano)  โดยมีสาระสำคัญว่า ไวน์คาร์มินยาโน่ รอซโซ่ (Carmignano Rosso) เป็นไวน์แดงชนิดธรรมดา และ “Riserva” ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คานายโยโล่ เนโร (Canaiolo nero) ไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) พันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน 10-20 เปอร์เซ็นต์ องุ่นเขียวพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) พันธุ์คานายโยโล่ เบียงโค่ (Canaiolo bianco) พันธุ์มาลวาเซีย เดล เคียนติ (Malvasia del Chianti) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในเมืองปราโต้ (Prato) ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์   
              ผู้ผลิตไวน์คาร์มินยาโน่ (Carmignano Wine Producers)        
              บริษัท ฟัตตอเรีย อัมบรา (Fattoria Ambra) จากตำบลคาร์มินยาโน่ (Comune di Carmignano) ของตระกูลริโกลิ (Rigoli family) ก่อตั้งในปีค.ศ.1870  ในปัจจุบันได้ตกทอดมาถึงนายจุยเซ็ปเป้ ริโกลิ (Giuseppe Rigoli) ทำไวน์คาร์มินยาโน่ (Carmignano) ออกมาหลายฉลากซึ่งล้วนแต่เป็นไวน์ที่ดีทั้งสิ้น
              ไวน์คาร์มินยาโน่ เอลซาน่า ริแซร์ว่า (Carmignano Elzana Ris.) ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 90 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 10 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มเป็นเวลา 24 เดือน ซึ่งในช่วง 12 เดือนแรกจะอยู่ในถังไม้โอ๊กขนาดใหญ่ และในช่วง 12 เดือนหลังจะอยู่ในถังบาร์ริค (barrique)  
              ส่วนไวน์คาร์มินยาโน่ เล วินเย่ อัลเต้ มอนตาลบิโอโล่ ริแซร์ว่า (Carmignano Le Vigne Alte di Montalbiolo Ris.) ที่เป็นเสมือนคู่แฝดกัน จะใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 75 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คานายโยโล่ เนโร (Canaiolo nero) 10 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 10 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์แมร์โล (Merlot) 5 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มเป็นเวลา 24 เดือนเช่นเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่ไม่ได้อยู่ในถังบาร์ริค (barrique)  
              บริษัท คาเปซซาน่า (Tenuta di Capezzana) จากตำบลคาร์มินยาโน่ (Comune di Carmignano)  เป็นผู้ผลิตไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของแคว้นทัสคานี (Tuscany) ซึ่งมีการสืบทอดกันมานานกว่า 700 ปี  ในปัจจุบันตกเป็นกิจการของนายคอนตินิ โบนาคอสสิ (Contini Bonacossi)  
              ทำไวน์คาร์มินยาโน่ วิลล่า ดิ คาเปซซาน่า (Carmignano Villa di Capezzana) โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 80 เปอร์เซ็นต์ ผสมกับพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 20 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มไม้โอ๊กขนาดใหญ่และในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 15 เดือน และเก็บบ่มในขวด 10 เดือน  
              
              ไวน์บาร์โค เรอัลเล่ ดิ คาร์มินยาโน่ (Barco Reale di Carmignano)             
              ไวน์บาร์โค เรอัลเล่ ดิ คาร์มินยาโน่ (Barco Reale di Carmignano) เป็นไวน์เกรดดีโอซีจี.(DOC) ถูกกำหนดให้เป็นเขตดีโอซี.(DOC) ตั้งแต่ปีค..1994  แหล่งผลิตจะอยู่ในบริเวณตำบลคาร์มินยาโน่ (Comune di Carmignano) และตำบลป๊อจโจ้ อะ คายาโน่ (Comune di Poggio a Caiano) เขตเมืองปราโต้ (Prato) ซึ่งเป็นพื้นที่เดียวกันกับเขตไวน์คาร์มินยาโน่ (Carmignano)
              ไวน์ที่ผลิตเป็นไวน์แดง (Vino Rosso) ไวน์โรซาโต้ (rosato) ไวน์วิน ซานโต้ (Vin Santo) และไวน์วิน ซานโต้ อ๊อคคิโอ ดิ แปร์นิเช่ (Vin Santo Occhio di Pernice)  การผลิตไวน์จะอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์การผลิตของ คอนซอร์ซิโอ ดิ ตูเตล่า เดอิ วินิ ดิ คาร์มินยาโน่ (Consorzio di Tutela dei Vini di Carmignano)  โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1.  ไวน์บาร์โค เรอัลเล่ ดิ คาร์มินยาโน่ รอซโซ่ (Barco Reale di Carmignano Rosso) ชนิดธรรมดา และไวน์บาร์โค เรอัลเล่ ดิ คาร์มินยาโน่ โรซาโต้ (Barco Reale di Carmignano Rosato) ชนิดธรรมดา ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คานายโยโล่ เนโร (Canaiolo nero) ไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์  พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) พันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน 10-20 เปอร์เซ็นต์  องุ่นเขียวพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) พันธุ์คานายโยโล่ เบียงโค่ (Canaiolo bianco) พันธุ์มาลวาเซีย เดล เคียนติ (Malvasia del Chianti) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในเมืองปราโต้ (Prato) ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์
2.  ไวน์บาร์โค เรอัลเล่ ดิ คาร์มินยาโน่ วิน ซานโต้ (Barco Reale di Carmignano Vin Santo) ชนิดธรรมดา และ “Riserva”  ใช้องุ่นเขียวพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) พันธุ์มาลวาเซีย เดล เคียนติ (Malvasia del Chianti) ไม่น้อยกว่า 75 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวหรือองุ่นแดงที่ปลูกในเมืองปราโต้ (Prato) ไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์
3.  ไวน์บาร์โค เรอัลเล่ ดิ คาร์มินยาโน่ วิน ซานโต้ อ๊อคคิโอ้ ดิ แปร์นิเช่ (Barco Reale di Carmignano Vin Santo Occhio di Pernice) ชนิดธรรมดา และ “Riserva” ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวหรือองุ่นแดงที่ปลูกในเมืองปราโต้ (Prato) ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์
             
              ไวน์ซูเปอร์ทัสกัน จากเมืองปราโต้ (SuperTuscans from Prato)
              ในเมือง (Prato) มีการผลิตไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) กันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่โดดเด่นเท่าใดนัก นอกจากไวน์เกียเยีย เดลล่า ฟูร์บา (Ghiaie della Furba) ของ บริษัท คาเปซซาน่า (Tenuta di Capezzana) ที่เป็นไวน์ในแบบอย่างของไวน์จากแคว้นบอร์โด (Bordeaux-styled) มีส่วนผสมขององุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 60 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์แมร์โล (Merlot) 30 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือจะเป็นพันธุ์ซีร่าห์ (Syrah)  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 12 เดือน และเก็บบ่มในขวด 12 เดือน

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เจาะลึกไวน์จากแคว้นทัสคานี : ไวน์จากเมืองลิวอร์โน (Livorno)


                                      ไวน์จากเมืองลิวอร์โน่ (Livorno)


              เมืองลิวอร์โน่ (Livorno) เป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของแคว้นทัสคานี (Tuscany) ติดกับทะเลไทเรเนียน (Tyrrhenian Sea) มีพื้นที่ประมาณ 1,211 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 340,387 คน (ค.ศ.2008)  ดินแดนแห่งนี้มีไวน์อิตาเลียนชั้นดีอยู่มากมาย แต่เป็นเพียงแค่ไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) และไวน์เกรดตอสกาน่า ไอจีที.(Toscana IGT) เท่านั้น
              ไวน์โบลเกริ (Bolgheri) และ ไวน์โบลเกริ ซาสซิคาย่า (Bolgheri Sassicaia)
              ไวน์โบลเกริ (Bolgheri) เป็นไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) ในเขตไวน์โบลเกริ (Bolgheri DOC appellation) ที่ถูกกำหนดขึ้นในปีค.ศ.1994  แหล่งผลิตจะอยู่ในชุมชนโบลเกริ (Bolgheri Zone) ตำบลคาสตานเยโต้ คาร์ดุชชิ (Comune di Castagneto Carducci) โดยมีการผลิตทั้งไวน์โบลเกริ รอซโซ่ (Bolgheri Rosso) ไวน์โบลเกริ เบียงโค่ (Bolgheri Bianco) ไวน์โบลเกริ โรซาโต้ (Bolgheri Rosato) และไวน์โบลเกริ วิน ซานโต้ อ๊อคคิโอ้ ดิ แปร์นิเช่ (Bolgheri Vin Santo Occhio di Pernice)                                 
              ไวน์โบลเกริ ซาสซิคาย่า (Bolgheri Sassicaia) เป็นไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) เฉพาะพื้นที่ๆ เล็กๆ ซึ่งแต่เดิมเป็นเขตย่อย (sub-zone) ในเขตไวน์โบลเกริ (Bolgheri DOC appellation)  แต่ในปัจจุบันแยกเป็นเขตอิสระออกจากเขตไวน์โบลเกริ (Bolgheri DOC appellation)
              การผลิตไวน์โบลเกริ (Bolgheri) และไวน์โบลเกริ ซาสซิคาย่า (Bolgheri Sassicaia) จะอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์การผลิตของ คอนซอร์ซิโอ ดิ ตูเตล่า โบลเกริ (Consorzio di Tutela Bolgheri)  โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1.  ไวน์โบลเกริ (Bolgheri) จะต้องทำการผลิตในตำบลคาสตานเยโต้ คาร์ดุชชิ (Comune di Castagneto Carducci) โดยมีการผลิตไวน์โบลเกริ รอซโซ่ (Bolgheri Rosso) ไวน์โบลเกริ โรซาโต้ (Bolgheri Rosato) ไวน์โบลเกริ เบียงโค่ (Bolgheri Bianco) และไวน์โบลเกริ วิน ซานโต้ อ๊อคคิโอ้ ดิ แปร์นิเช่ (Bolgheri Vin Santo Occhio di Pernice)
2.  ไวน์โบลเกริ รอซโซ่ (Bolgheri Rosso) ชนิดธรรมดา และ “Superiore”  ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 10-80 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์แมร์โล (Merlot) พันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่เกิน 70 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงพื้นเมืองที่ปลูกในเมืองลิวอร์โน่ (Livorno) ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์
3.  ไวน์โบลเกริ โรซาโต้ (Bolgheri Rosato) ชนิดธรรมดา ใช้องุ่นแดงชนิดเดียวกัน และในสัดส่วนเดียวกันกับไวน์โบลเกริ รอซโซ่ (Bolgheri Rosso)
4.  ไวน์โบลเกริ เบียงโค่ (Bolgheri Bianco) ชนิดธรรมดา ใช้องุ่นเขียวพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) พันธุ์แวร์เมนติโน่ (Vermentino) พันธุ์โซวินยอง บลอง (Sauvignon blanc) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่เกิน 70 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในเมืองลิวอร์โน่ (Livorno) ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์
5.  ไวน์โบลเกริ วิน ซานโต้ อ๊อคคิโอ้ ดิ แปร์นิเช่ (Bolgheri Vin Santo Occhio di Pernice) ชนิดธรรมดา ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 50-70 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์มาลวาเซีย เนร่า (Malvasia nera) 30-50 เปอร์เซ็นต์  
6.  ไวน์โบลเกริ รอซโซ่ (Bolgheri Rosso) ยังสามารถที่จะใช้ร่วมกับคำว่า “Superiore” ได้ก็ต่อเมื่อมีการเก็บบ่มเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 24 เดือน เริ่มจากวันที่ 1 มกราคม หลังจากฤดูกาลเก็บเกี่ยว โดยเก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 12 เดือน เก็บบ่มในขวดไม่ต่ำกว่า 6 เดือน  และต้องมีระดับแอลกอฮอล์ ไม่ต่ำกว่า 12.5 เปอร์เซ็นต์
7.  ไวน์โบลเกริ เบียงโค่ (Bolgheri Bianco) ที่จะระบุชื่อพันธุ์องุ่นบนฉลากไวน์ ให้ใช้องุ่นเขียวพันธุ์แวร์เมนติโน่ (Vermentino) หรือ พันธุ์โซวินยอง บลอง (Sauvignon blanc) ไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในเมืองลิวอร์โน่ (Livorno) ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์
8.  ไวน์โบลเกริ ซาสซิคาย่า (Bolgheri Sassicaia) ในเขตย่อย (sub-zone) ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 85 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 15 เปอร์เซ็นต์  ต้องมีการเก็บบ่มเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 24 เดือน เริ่มจากวันที่ 1 มกราคม หลังจากฤดูกาลเก็บเกี่ยว โดยเก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 18 เดือน เก็บบ่มในขวดไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
              ผู้ผลิตไวน์โบลเกริ (Bolgheri Wine Producers) ในระดับคุณภาพจะมีอยู่มากมาย
              บริษัท มิเคเล่ ซัตต้า (Michele Satta) ของนายมิเคเล่ ซัตต้า (Michele Satta) หนุ่มใหญ่ผู้จบการศึกษาด้านการเกษตร (The Agricultural School) จากมหาวิทยาลัยแห่งเมืองมิลาน (The University of Milan) ที่อพยพมาอยู่ตำบลคาสตานเยโต้ คาร์ดุชชิ (Comune di Castagneto Carducci) เมื่อปีค.ศ.1974
              ทำไวน์โบลเกริ รอซโซ่ ปิอัสตราย่า (Bolgheri Rosso Piastraia) โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) พันธุ์แมร์โล (Merlot) พันธุ์ซีร่าห์ (Syrah) และพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) อย่างละ 25 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) และถังไม้โอ๊กขนาดใหญ่ เป็นเวลา 12 เดือน และเก็บบ่มในขวด 6 เดือน
              บริษัท คาซ่า คามาร์คันด้า (Ca’ Marcanda) ของนายอันเจโล กาย่า (Angelo Gaja) ที่ขยายฐานธุรกิจไวน์มายังแคว้นทัสคานี (Tuscany) ในปีค..1996  โดยซื้อไร่คาซ่า มาร์คันด้า (Ca’ Marcanda Vineyard) ในตำบลคาสตานเยโต้ คาร์ดุชชิ (Comune di Castagneto Carducci) เนื้อที่ 200 เอเคอร์ เพื่อปลูกองุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) พันธุ์แมร์โล (Merlot) พันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) และพันธุ์ซีร่าห์ (Syrah)  ผลิตไวน์โปรมิส (Promis) ไวน์มาการิ (Magari) และไวน์โบลเกริ รอซโซ่ คามาร์คันด้า (Bolgheri Rosso Camarcanda)  ไวน์แดงฉลากใหม่ที่มีรูปแบบของฉลากไวน์รูปทรงเรขาคณิต เน้นสีให้ตัดกันอย่างชัดเจน  แตกต่างไปจากรูปแบบฉลากไวน์แบบเก่าที่ผลิตจากแคว้นปิเอมอนเต้ (Piemonte)
              ทำไวน์โบลเกริ รอซโซ่ คามาร์คันด้า (Bolgheri Rosso Camarcanda) โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์แมร์โล (Merlot) 50 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 40 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือจะเป็นพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc)  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 12 เดือน
              บริษัท เดล ลอเนลลาย่า (Tenuta dell’ Ornellaia)  ผู้ผลิตไวน์ที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของบริษัท มาร์เคสิ เด เฟรสโคบาลดิ (Marchesi de’ Frescobaldi) แห่งเมืองฟลอเรนซ์ (Florence)  
              ทำไวน์โบลเกริ รอซโซ่ ซูเปริออเร่ ออร์เนลลาย่า (Bolgheri Rosso Sup.Ornellaia) เป็นครั้งแรกจากวินเทจ 1985  โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 79 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์แมร์โล (Merlot) 18 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 3 เปอร์เซ็นต์ โดยที่สัดส่วนจะเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อยตามคุณภาพขององุ่นในแต่ละวินเทจ
              แต่นับจากวินเทจ 2003 เป็นต้นไป จะใช้พันธุ์เปอตี แวร์โด (Petit verdot) เข้ามาเป็นส่วนผสมประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์  ซึ่งในวินเทจ 2007 จะใช้พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 55 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์แมร์โล (Merlot) 27 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 14 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์เปอตี แวร์โด (Petit verdot) 4 เปอร์เซ็นต์
              ไวน์ดีอีกฉลากหนึ่งจากผู้ผลิตรายนี้คือ ไวน์โบลเกริ รอซโซ่ เล แซร์เร่ นูโอเว่ เดล ลอร์เนลลาย่า (Bolgheri Rosso Le Serre Nuove dell’Ornellaia) ซึ่งผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1997 เปรียบเสมือนไวน์ฉลากที่สองของผู้ผลิตรายนี้  ในวินเทจ 2008 จะใช้องุ่นแดงพันธุ์แมร์โล (Merlot) 50 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 35 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 9 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์เปอตี แวร์โด (Petit verdot) 6 เปอร์เซ็นต์
              บริษัท อาร์เจนติเอร่า (Tenuta Argentiera)  เป็นผู้ผลิตไวน์ที่มีการร่วมลงทุนระหว่างพี่น้องในตระกูลฟราตินิ (Fratini family) กับ มาร์เคเซ่ ปิเอโร่ อันติโนริ (Marchese Piero Antinori)  ทำไวน์โบลเกริ รอซโซ่ ซูเปริออเร่ อาร์เจนติเอร่า (Bolgheri Rosso Sup.Argentiera) โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 50 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์แมร์โล (Merlot) 40 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 10 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 14 เดือน และเก็บบ่มในขวด 12 เดือน
              บริษัท กรัตตามัคโค่ (Podere Grattamacco)  ก่อตั้งในปีค..1977  ทำไวน์โบลเกริ รอซโซ่ ซูเปริออเร่ กรัตตามัคโค่ (Bolgheri Rosso Sup.Grattamacco) ครั้งแรกจากวินเทจ 1978  โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 65 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์แมร์โล (Merlot) 20 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 15 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 12 เดือน
              ส่วนไวน์โบลเกริ รอซโซ่ ซูเปริออเร่ ลัลเบเรลโล่ (Bolgheri Rosso Sup.L’Alberello) ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 50 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 25 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์เปอตี แวร์โด (Pertit verdot)  25 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 12 เดือน  ผลิตออกมาเพียงแค่ปีละ 6,000 ขวด
              บริษัท กวาโด อัล ตัสโซ่ (Tenuta Guado al Tasso)  ผู้ผลิตไวน์ที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของบริษัท มาร์เคสิ อันติโนริ (Marchesi Antinori) ทำไวน์โบลเกริ รอซโซ่ ซูเปริออเร่ กวาโด อัล ตัสโซ่ (Bolgheri Rosso Sup.Guado al Tasso) ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 65 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์แมร์โล (Merlot) 30 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์ซีร่าห์ (Syrah) 5 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา 18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 10 เดือน
              บริษัท เล มัคคิโอเล่ (Azienda Agricola Le Macchiole) ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ.1983 โดยนายยูเจนิโอ คัมโปลมิ (Eugenio Campolmi) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งคอนซอร์ซิโอ ดิ ตูเตล่า โบลเกริ (Consorzio di Tutela Bolgheri) ทำไวน์โบลเกริ รอซโซ่ ซูเปริออเร่ ปาเลโอ (Bolgheri Rosso Sup.Paleo) มาตั้งแต่ปีค.ศ.1989  โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) เป็นส่วนผสมหลักระหว่าง 70-85 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลาที่ยาวนาน ซึ่งไวน์จากวินเทจ 1995-1997 เป็นไวน์โบลเกริ รอซโซ่ (Bolgheri Rosso) ที่โด่งดังมาก 
              แต่หลังจากที่นางชินเซีย คัมโปลมิ (Cinzia Campolmi) เข้ามาบริหารงานแทนผู้เป็นสามี ก็เริ่มเปลี่ยนแนวคิดโดยเน้นการทำไวน์ซูเปอร์ ทัสกัน (SuperTuscans) มากขึ้น ทำให้วินเทจ 2000 จึงเป็นวินเทจสุดท้ายของไวน์โบลเกริ รอซโซ่ ซูเปริออเร่ ปาเลโอ (Bolgheri Rosso Sup.Paleo)  และนับจากวินเทจ 2001 เป็นต้นไป  ไวน์ปาเลโอ (Paleo) ไวน์เกรดตอสกาน่า ไอจีที.(Toscana IGT) ที่ใช้องุ่นพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 100 เปอร์เซ็นต์ จึงเข้ามาแทนที่ และไวน์จากวินเทจ 2001 / 2003-2005  ได้เรตติ้งอยู่ในระดับสูงจากนิตยสารไวน์ชั้นนำแทบทุกฉบับ
              บริษัท ซาน กุยโด (Tenuta San Guido)  กิจการของตระกูลอินชิซ่า เดลล่า ร๊อคเคตต้า (Incisa della Rocchetta family) ตระกูลขุนนางในยุคกลาง (middle age) ที่ถือครองที่ดินโดยระบอบศักดินา (feudalism)  
              ตำนานของบริษัท ซาน กุยโด (Tenuta San Guido) เริ่มขึ้นในปีค..1930  เมื่อมาร์เคเซ่ มาริโอ อินชิซ่า เดลล่า ร๊อคเคตต้า (Marchese Mario Incisa della Rocchetta) แต่งงานกับ คลาริซ เดลล่า เกราร์เดสก้า (Clarice della Gherardesca) ทายาทของมหาเศรษฐีผู้เป็นเจ้าของที่ดินในชุมชนโบลเกริ (Bolgheri)  หลังจากนั้นไม่นาน ท่านมาร์เคเซ่ ก็ย้ายถิ่นฐานจากตำบลร๊อคเคตต้า ตานาโร่ (Comune di Rocchetta Tanaro) เมืองอัสติ (Asti) แคว้นปิเอมอนเต้ (Piemonte) มาอยู่ในชุมชนโบลเกริ (Bolgheri)  และในปีค..1940  ได้ทดลองปลูกองุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) และพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) ในไร่ปลูกซาสซิคาย่า (Sassicaia Vineyard)  โดยนำกิ่งพันธุ์มาจากเขตกราฟ (Graves) ในแคว้นบอร์โด (Bordeaux)
              ท่านมาร์เคเซ่ มีความใฝ่ฝันที่จะทำไวน์ในแบบอย่างไวน์จากแคว้นบอร์โด (Bordeaux-styled)  จึงเริ่มทำการทดลองผลิตไวน์ในฝันของตนเองในปีค..1948  โดยนำเอาชื่อของไร่ปลูกมาเป็นชื่อไวน์ ซาสซิคาย่า ซึ่งในครั้งแรกนั้นใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) ผสมกับองุ่นแดงพื้นเมืองพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) และพันธุ์เนบบิโอโล่ (Nebbiolo)  แต่ในที่สุดก็เห็นว่าความฝันของตนเองควรมาจากพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon)
              ซาสซิคาย่า จากวินเทจแรกๆ เปรียบเสมือนเด็กที่เริ่มหัดเดินและถูกจัดอยู่ในเกรดวิโน่ ดา ตาโวล่า (Vino da Tavola) จึงไม่ได้รับการยอมรับจากชาวทัสกัน (Tuscans)
              ท่านมาร์เคเซ่มีความมุ่งมั่นต่อแนวคิดที่ของตนเอง และเชื่อมั่นอย่างเปี่ยมล้นว่าเดินมาถูกทาง จึงเริ่มปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ทันสมัยขึ้น มีการขยายพื้นที่เก็บไวน์ในเซลล่าให้กว้างขึ้นเพื่อรองรับจำนวนถังไวน์ที่จะใช้เวลาเก็บให้ยาวนานกว่าไวน์อิตาเลียนทั่วๆ ไป
              ในปีค..1965  จึงขยายพื้นที่ปลูกองุ่นไปยังไร่ปลูกอีก 5 แห่ง ในตำบลคาสติลิโอนเชลโล่ (Comune di Castiglioncello) และเริ่มทำการผลิตไวน์ ซาสซิคาย่า อย่างเป็นทางการในปีค..1968  เมื่อนายจาโคโม่ ทาคิส (Giacomo Tachis) จากบริษัท อันติโนริ (Antinori) ถูกส่งมาเป็นที่ปรึกษาด้านการผลิตไวน์
              ซาสซิคาย่า วินเทจ 1968  ใช้พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) ผสมผสานกับพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) มีการเก็บบ่มไวน์ในถังบาร์ริค (barrique) ตามแนวคิดล้ำยุคของนายจาโคโม่ ทาคิส (Giacomo Tachis)   เมื่อไวน์ออกสู่ตลาดในปีค..1972  ก็ได้รับการยกย่องจากนิตยสาร ดีแคนเตอร์ (Decanter Magazine) ให้เป็นไวน์เยี่ยมยอดที่ทำจากองุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon)  เหนือกว่าไวน์ 33 ฉลาก จาก 11 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของ ซาสซิคาย่า อย่างแท้จริง
              ในที่สุดความท้าทายและความคิดสร้างสรรค์ของท่านมาร์เคเซ่ ทำให้ชาวทัสกัน (Tuscans) ส่วนใหญ่เริ่มที่จะให้การยอมรับในความเป็นไวน์ “SuperTuscans” รวมถึงผู้ผลิตไวน์ในแคว้นทัสคานี (Tuscany) เริ่มที่จะเดินตามรอยของ ซาสซิคาย่า
              สุดยอดของ ซาสซิคาย่า จะมาจากวินเทจ 1985  ซึ่งนายโรเบิร์ต ปาร์คเกอร์ (Robert M. Parker Jr.) เคยกล่าวสดุดีในนิตยสาร ไวน์แอดโวเคท (Wine Advocate Magazine) ว่าเป็นหนึ่งในไวน์ที่ทำจากองุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) ที่เยี่ยมยอดที่สุดในศตวรรษนี้ และให้เรตติ้ง 100 คะแนน เป็นบทสรุปสุดท้าย
              ความเปลี่ยนแปลงของซาสซิคาย่าเกิดขึ้นอีกครั้งในปีค.ศ.1994  เมื่อถูกกำหนดให้อยู่ในเขตไวน์โบลเกริ (Bolgheri DOC appellation) ทำให้ต้องมีชื่อใหม่ว่า โบลเกริ ซาสซิคาย่า
              ในปัจจุบัน โบลเกริ ซาสซิคาย่า จะใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 85 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 15 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) ไม่ต่ำกว่า 18 เดือน และเก็บบ่มในขวดไม่ต่ำกว่า 6 เดือน 
              ได้รับการขนานนามว่า “The Pioneer of SuperTuscans”  
             
              ไวน์วัล ดิ คอร์เนีย (Val di Cornia)
              ไวน์วัล ดิ คอร์เนีย (Val di Cornia) เป็นไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) ที่กำหนดเขตเมื่อปีค.ศ.1989  แหล่งผลิตจะอยู่ใน 5 ชุมชน เขตเมืองลิวอร์โน่ (Livorno) ซึ่งประกอบด้วย
              ตำบลซาสเซตต้า (Comune di Sassetta) ตำบลปิออมบิโน่ (Comune di Piombino) ตำบลซาน วินเชนโซ่ (Comune di San Vincenzo) ตำบลคัมปิเยีย มาริตติม่า (Comune di Campiglia Marittima) และตำบลซูเวเรโต้ (Comune di Suvereto) ซึ่งถือว่าเป็นเขตย่อย (sub-zone)
              นอกจากนี้ยังมีการผลิตในตำบลมอนเตแวร์ดิ มาริตติโม่ (Comune di Monteverdi Marittimo) เขตเมืองปิซ่า (Pisa) 
              มีการผลิตทั้งไวน์แดง (Vino Rosso) ไวน์ขาว (Vino Bianco) ไวน์โรซาโต้ (Rosato) และไวน์แดงชนิดหวาน (Passito) การผลิตไวน์จะอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์การผลิตของ คอนซอร์ซิโอ แปร์ ลา ตูเตล่า เดอิ วินิ วัล ดิ คอร์เนีย (Consorzio per la Tutela dei Vini Val di Cornia)  โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1.  ไวน์วัล ดิ คอร์เนีย รอซโซ่ (Val di Cornia Rosso) ชนิดธรรมดา และ “Riserva”และ “Superiore” และไวน์วัล ดิ คอร์เนีย โรซาโต้ (Val di Cornia Rosato) ชนิดธรรมดา ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) พันธุ์แมร์โล (Merlot) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในเมืองลิวอร์โน่ (Livorno) และเมืองปิซ่า (Pisa) ไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์  หากเป็นชนิดโมโนวาไรทัล (mono varietal) ให้ใช้องุ่นแดงพันธุ์ชิลิเอโจโล่ (Ciliegiolo) หรือ พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) หรือ พันธุ์แมร์โล (Merlot) หรือ พันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในเมืองลิวอร์โน่ (Livorno) และเมืองปิซ่า (Pisa) ไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์
2.  ไวน์วัล ดิ คอร์เนีย รอซโซ่ (Val di Cornia Rosso) ชนิดธรรมดา ที่ผลิตจากตำบลซูเวเรโต้ (Comune di Suvereto) จะใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์แมร์โล (Merlot) ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในเมืองลิวอร์โน่ (Livorno) และเมืองปิซ่า (Pisa) ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์  หากเป็นชนิดโมโนวาไรทัล (mono varietal) ให้ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) หรือ พันธุ์แมร์โล (Merlot) หรือ พันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในเมืองลิวอร์โน่ (Livorno) และเมืองปิซ่า (Pisa) ไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ 
3.  ไวน์วัล ดิ คอร์เนีย เบียงโค่ (Val di Cornia Bianco) ชนิดธรรมดา ใช้องุ่นเขียวพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์แวร์เมนติโน่ (Vermentino) ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในเมืองลิวอร์โน่ (Livorno) และเมืองปิซ่า (Pisa) ไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์  หากเป็นชนิดโมโนวาไรทัล (mono varietal) ให้ใช้องุ่นพันธุ์แวร์เมนติโน่ (Vermentino) พันธุ์อันโซนิก้า (Ansonica) ไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในเมืองลิวอร์โน่ (Livorno) และเมืองปิซ่า (Pisa) ไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์
4.  ไวน์วัล ดิ คอร์เนีย ปาสซิโต้ (Val di Cornia Passito) ชนิดธรรมดา ซึ่งเป็นไวน์แดงชนิดหวาน ใช้องุ่นแดงพันธุ์อาเลอาติโก้ (Aleatico) 100 เปอร์เซ็นต์  และต้องมีระดับแอลกอฮอล์ 16.0 เปอร์เซ็นต์
              ผู้ผลิตไวน์วัล ดิ คอร์เนีย (Val di Cornia Wine Producers)
              ผู้ผลิตไวน์ชนิดนี้จะมีอยู่ไม่มากนัก แต่ที่เป็นที่ยอมรับกันได้ก็เห็นจะเป็นผู้ผลิตจากตำบลซูเวเรโต้ (Comune di Suvereto)
              บริษัท กวัลโด้ เดล เร (Gualdo del Re)  จากตำบลซูเวเรโต้ (Comune di Suvereto) ของนายนิโก้ รอซซี่ (Nico Rossi) ผลิตไวน์ปีละ 100,000 ขวด บนพื้นที่ 20 เฮ็คต้าร์ มีไวน์วัล ดิ คอร์เนีย รอซโซ่ อิ เรนเนโร่ (Val di Cornia Rosso I’Rennero) ใช้องุ่นแดงพันธุ์แมร์โล (Merlot) 100 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) 15 เดือน และเก็บบ่มในขวด 21 เดือน
              ส่วนอีกฉลากหนึ่งจากผู้ผลิตรายนี้ที่โดดเด่นไม่แพ้กัน คือ ไวน์วัล ดิ คอร์เนีย รอซโซ่ กวัลโด้ เดล เร (Val di Cornia Rosso Gualdo del Re) ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 100 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) 18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 18 เดือน 
              บริษัท เปตร้า (Petra)  จากตำบลซูเวเรโต้ (Comune di Suvereto) ของนายวิตตอริโอ โมเรตติ (Vittorio Moretti) เจ้าของไวน์เปตร้า (Petra) ไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) ที่กำลังมาแรงทำไวน์วัล ดิ คอร์เนีย รอซโซ่ เอโบ้ (Val di Cornia Rosso Ebo) โดยผสมผสานระหว่างองุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) พันธุ์แมร์โล (Merlot) และพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese)  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) 12 เดือน และเก็บบ่มในขวด 8 เดือน 
              บริษัท เปตริชชิ เอ เดล เปียนต้า (Azienda Agricola Petricci e del Pianta) จากตำบลซูเวเรโต้ (Comune di Suvereto) ของตระกูลเปตริชชิ (Petricci family)  ทำไวน์วัล ดิ คอร์เนีย รอซโซ่ บูก้า ดิ เคลออนเต้ (Val di Cornia Rosso Buca di Cleonte) โดยใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 70 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 30 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) 15 เดือน และเก็บบ่มในขวด 4 เดือน

              ไวน์แตร์ราติโค่ ดิ บิบโบน่า (Terratico di Bibbona)
              ไวน์แตร์ราติโค่ ดิ บิบโบน่า (Terratico di Bibbona) เป็นไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) ที่กำหนดขึ้นเมื่อปีค.ศ.2006  แหล่งผลิตอยู่ใน 4 ชุมชน เขตเมืองลิวอร์โน่ (Livorno) ซึ่งประกอบด้วย
              ตำบลบิบโบน่า (Comune di Bibbona) ตำบลเชชิน่า (Comune di Cecina) ตำบลคอลเล่ซาลเวตติ (Comune di Collesalvetti) และตำบลโรสซินยาโน่ (Comune di Rossignano)  
              มีการผลิตทั้งไวน์แดง (Vino Rosso) ไวน์ขาว (Vino Bianco) และไวน์โรซาโต้ (Vino Rosato) การผลิตไวน์จะอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์การผลิตของ มิเนสเตโร่ เดลเล่ โปลิติเค่ อากริโคเล่ เอ ฟอเรสตาลิ (Ministero delle Politiche Agricole e Forestali)  โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1.  ไวน์แตร์ราติโค่ ดิ บิบโบน่า รอซโซ่ (Terratico di Bibbona Rosso) ชนิดธรรมดา และ “Superiore” และไวน์แตร์ราติโค่ ดิ บิบโบน่า โรซาโต้ (Terratico di Bibbona Rosato) ชนิดธรรมดา ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์แมร์โล (Merlot) ไม่เกิน 35 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในแคว้นทัสคานี (Tuscany) ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์  หากเป็นชนิดโมโนวาไรทัล (mono varietal) ให้ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) หรือ พันธุ์แมร์โล (Merlot) หรือ พันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในแคว้นทัสคานี (Tuscany) ไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ 
2.  ไวน์แตร์ราติโค่ ดิ บิบโบน่า เบียงโค่ (Terratico di Bibbona Bianco) ชนิดธรรมดา ใช้องุ่นเขียวพันธุ์แวร์เมนติโน่ (Vermentino) ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในแคว้นทัสคานี (Tuscany) ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์  หากเป็นชนิดโมโนวาไรทัล (mono varietal) ให้ใช้องุ่นเขียวพันธุ์แวร์เมนติโน่ (Vermentino) หรือพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) ไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในแคว้นทัสคานี (Tuscany) ไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ 

              ไวน์เอลบ้า (Elba)
              ไวน์เอลบ้า (Elba) เป็นไวน์เกรดดีโอซี.(DOC) ที่กำหนดขึ้นเมื่อปีค.ศ.1999  แหล่งผลิตจะอยู่บนเกาะเอลบ้า (Elba Island) เขตเมืองลิวอร์โน่ (Livorno)
              มีการผลิตทั้งไวน์แดง (Vino Rosso) ไวน์โรซาโต้ (Vino Rosato) ไวน์ขาว (Vino Bianco) ไวน์ขาวมีฟอง (Vino Spumante) ไวน์วิน ซานโต้ (Vin Santo) และไวน์วิน ซานโต้ อ๊อคคิโอ ดิ แปร์นิเช่ (Vin Santo Occhio di Pernice)  การผลิตไวน์จะอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์การผลิตของ มิเนสเตโร่ เดลเล่ โปลิติเค่ อากริโคเล่ เอ ฟอเรสตาลิ (Ministero delle Politiche Agricole e Forestali)  โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1.  ไวน์เอลบ้า รอซโซ่ (Elba Rosso) ชนิดธรรมดา และ “Riserva” ไวน์เอลบ้า โรซาโต้ (Elba Rosato) ชนิดธรรมดา และไวน์เอลบ้า วิน ซานโต้ อ๊อคคิโอ ดิ แปร์นิเช่ (Elba Vin Santo Occhio di Pernice) ชนิดธรรมดา ใช้องุ่นแดงพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) ไม่น้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นแดงที่ปลูกในเมืองลิวอร์โน่ (Livorno) ไม่เกิน 40 เปอร์เซ็นต์
2.  ไวน์เอลบ้า เบียงโค่ (Elba Bianco) ชนิดธรรมดา ไวน์เอลบ้า สปูมานเต้ (Elba Spumante) ชนิดธรรมดา และไวน์เอลบ้า วิน ซานโต้ (Elba Vin Santo) ชนิดธรรมดา และ “Riserva”  ใช้องุ่นเขียวพันธุ์เตรบบิอาโน่ ตอสกาโน่ (Trebbiano toscano) ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์อันโซนิก้า (Ansonica) พันธุ์แวร์เมนติโน่ (Vermentino) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในเมืองลิวอร์โน่ (Livorno) ไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์  หากเป็นชนิดโมโนวาไรทัล (mono varietal) ให้ใช้องุ่นเขียวพันธุ์อันโซนิก้า (Ansonica) ไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์  ส่วนที่เหลือจะใช้องุ่นเขียวที่ปลูกในเมืองลิวอร์โน่ (Livorno) ไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ 
             
              ไวน์ซูเปอร์ทัสกัน จากเมืองลิวอร์โน่
              คงจะไม่มีใครกล้าปฏิเสธถึงความดังของไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) จากเมืองลิวอร์โน่ (Livorno)  ไม่ว่าจะเป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) รุ่นบุกเบิก หรือไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) รุ่นใหม่ ที่โด่งดังไม่แพ้กัน
              ไวน์มาสเซโต้ (Masseto)   
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) จาก บริษัท เดล ลอเนลลาย่า (Tenuta dell’ Ornellaia) จากเขตโบลเกริ (Bolgheri Zone) ตำบลคาสตานเยโต้ คาร์ดุชชิ (Comune di Castagneto Carducci) ซึ่งก่อตั้งโดยมาร์เคเซ่ โลโดวิโก้ อันติโนริ (Marchese Lodovico Antinori)         
              ไวน์มาสเซโต้ เป็นสุดยอดไวน์ที่ยังหาไวน์ตัวใดก้าวขึ้นมาเทียบชั้นได้ ผลิตเป็นครั้งแรกในวินเทจ 1983 โดยใช้องุ่นพันธุ์แมร์โล (Merlot) 100 เปอร์เซ็นต์      
              ตำนานของไวน์มาสเซโต้ (Masseto) เริ่มขึ้นเมื่อมาร์เคเซ่ โลโดวิโก้ อันติโนริ (Marchese Lodovico Antinori) น้องชายของ มาร์เคเซ่ ปิเอโร่ อันติโนริ (Marchese Piero Antinori) แห่งบริษัท มาร์เคสิ อันติโนริ (Marchesi Antinori) ได้แยกตัวออกมาจากธุรกิจของตระกูลไปแสวงหาความท้าทายใหม่ๆ โดยมาก่อตั้งบริษัท เดล ลอร์เนลลาย่า (Tenuta dell’Ornellaia) บนที่ดิน 91 เฮ็คตาร์ ในเขตโบลเกริ (Bolgheri Zone) ตำบลคาสตานเยโต้ คาร์ดุชชิ (Comune di Castagneto Carducci) ชายฝั่งมาเรมม่า (Maremma Coastal) ที่ดินผืนนี้เป็นที่ดินมรดกที่ได้รับจากมารดา  โดยที่ มาร์เคเซ่ โลโดวิโก้ ใฝ่ฝันจะทำไวน์ของตนให้ทัดเทียมกับไวน์โบลเกริ ซาสซิคาย่า (Bolgheri Sassicaia) ของ มาร์เคเซ่ มาริโอ อินชิซ่า เดลล่า ร๊อคเคตต้า (Marchese Mario Incisa della Rocchetta) ผู้มีศักดิ์เป็นลุง
              เมื่อเริ่มแรก มาร์เคเซ่ โลโดวิโก้ ได้ปลูกองุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) พันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) และพันธุ์แมร์โล (Merlot) ซึ่งได้มีการทดลองแล้วว่าเหมาะกับสภาพอากาศเฉพาะถิ่น (micro-climate) และสภาพดินในเขตโบลเกริ (Bolgheri Zone) เขาเรียนรู้วิธีการปลูกองุ่นและการจัดการในไร่ปลูกมาจากนายอันเดร เชลิสท์เชฟ (Andre Tchelistcheff) ผู้ซึ่งเป็นผู้รอบรู้เกี่ยวกับองุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ (Cabernet) และเรียนรู้วิธีการทำไวน์มาจากนายมิทเชล โรลลองด์ (Michel Rolland) ไวน์เมคเกอร์ชั้นนำจากแคว้นบอร์โด (Bordeaux)
              มาร์เคเซ่ โลโดวิโก้ ทดลองเบลนด์องุ่นหลายทางเลือก แต่ในที่สุดก็ใช้องุ่นพันธุ์แมร์โล (Merlot) เพียงชนิดเดียว สำหรับไวน์มาสเซโต้ ของตน
              แต่หลังจากที่ได้ลงทุนลงแรงมาเกือบ 20 ปี มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในบริษัท เดล ลอร์เนลลาย่า (Tenuta dell’Ornellaia) ในเดือนเมษายน ค..1999  เมื่อนายโรเบิร์ท มอนดาวิ (Robert Mondavi) มหาเศรษฐีชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียนผู้มีกิจการทำไวน์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย  เข้าไปถือครองหุ้นของบริษัท เดล ลอร์เนลลาย่า (Tenuta dell’ Ornellaia) ไว้ส่วนหนึ่ง และจนกระทั่งในปีค..2002  ได้เข้าถือครองไว้ทั้งหมด โดยแบ่งสรรให้บริษัท มาร์เคสิ เด เฟรสโคบาลดิ (Marchesi de’ Frescobaldi) ผู้ผลิตไวน์รายใหญ่ของแห่งเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ถือครองหุ้น 50 เปอร์เซนต์
              และเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ.2005  บริษัท เดล ลอร์เนลลาย่า (Tenuta dell’ Ornellaia) ถูกเปลี่ยนมือไปอยู่กับบริษัท มาร์เคสิ เด เฟรสโคบาลดิ (Marchesi de’ Frescobaldi) โดยสิ้นเชิง
                           
              ไวน์เรดิกัฟฟิ (Redigaffi) และ ไวน์จุสโต้ ดิ โนตริ (Giusto di Notri)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) จาก บริษัท ตูอา ริต้า (Tua Rita) บูติคไวเนอรี (Boutique Winery) ของนางริต้า ตูอา (Rita Tua) แห่งตำบลซูเวเรโต้ (Comune di Suvereto) 
              นางริต้า ตูอา (Rita Tua) เข้ามาซื้อที่ดิน 22 เฮ็คต้าร์ บนที่สูง 100 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล จากเจ้าของที่รายเดิมตั้งแต่ค.ศ.1984  ซึ่งแต่เดิมเคยมีการปลูกองุ่นอยู่บ้างแล้ว และต่อมาได้ปลูกองุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) และพันธุ์แมร์โล (Merlot) เพิ่มเติม  เริ่มทำการผลิตไวน์ในปีค.ศ.1985 โดยมีนายสเตฟาโน่ คิอ๊อคโชลิ (Stefano Chioccioli) เป็นไวน์เมคเกอร์
              ไวน์เรดิกัฟฟิ  ทำจากองุ่นแดงพันธุ์แมร์โล (Merlot) 100 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) ใหม่เป็นเวลา  18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 12 เดือน  เป็นหนึ่งในอิตาเลียนแมร์โล ที่ผลิตออกมาวัดรอยเท้าของไวน์มาสเซโต้ (Masseto) ของบริษัท เดล ลอเนลลาย่า (Tenuta dell’Ornellaia)  เพื่อนบ้านแห่งเขตโบลเกริ (Bolgheri Zone) โดยจะผลิตปีละ 8,800 ขวด เท่านั้น 
Giusto di Notri
              ไวน์จุสโต้ ดิ โนตริ  ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 65 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์แมร์โล (Merlot) 25 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 15 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์เปอตี แวร์โด (Petit verdot) 5 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) ใหม่เป็นเวลา 18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 10 เดือน ผลิตปีละ 24,000 ขวด
             
              ไวน์กุยดัลแบร์โต้ (Guidalberto) และ ไวน์เล ดิเฟเซ่ (Le Difese)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) จาก บริษัท ซาน กุยโด (Tenuta San Guido) เจ้าของไวน์โบลเกริ ซาสซิคาย่า (Bolgheri Sassicaia) ที่โด่งดังไปทั้งโลก
              ไวน์กุยดัลแบร์โต้ ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 2000  ใช้องุ่นแดงพันธุ์แมร์โล (Merot) และพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) อย่างละ 45 เปอร์เซ็นต์ รวมกับองุ่นพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 10 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) และถังไม้อเมริกันโอ๊ก (American oak) เป็นเวลา 14 เดือน และเก็บบ่มในขวดเป็นเวลา 3 เดือน   
              ไวน์เล ดิเฟเซ่ ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 2005  ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 70 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 30 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) และถังไม้อเมริกันโอ๊ก (American oak) เป็นเวลา 14 เดือน และเก็บบ่มในขวดเป็นเวลา 3 เดือน เช่นเดียวกันกับไวน์กุยดัลแบร์โต้ (Guidalberto)
             
              ไวน์เปตร้า (Petra)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) จาก บริษัท เปตร้า (Petra) แห่งตำบลซูเวเรโต้ (Comune di Suvereto) ของนายวิตตอริโอ โมเรตติ (Vittorio Moretti) นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผู้เป็นเจ้าของกลุ่มบริษัท โมเรตติ (Moretti Group)  ในปลายปีค.ศ.2003  ได้ว่าจ้างนายปาสกาล ชาตองเน่ (Pascal Chatonnet) ชาวฝรั่งเศสเข้ามาร่วมงานในฐานะผู้ควบคุมการผลิตไวน์ ซึ่งจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนจากไวน์เปตร้า (Petra) วินเทจ 2004   
              ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1997  ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) 70 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์แมร์โล (Merlot) 30 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) เป็นเวลา  18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 18 เดือน
             
              ไวน์มาการิ (Magari) และ ไวน์โปรมิส (Promis)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) จาก บริษัท คาซ่า มาร์คันด้า (Ca’ Marcanda) แห่งตำบลคาสตานเยโต้ คาร์ดุชชิ (Comune di Castagneto Carducci) ฐานธุรกิจแห่งใหม่ของนายแอนเจโล กาย่า (Angelo Gaja) ในแคว้นทัสคานี (Tuscany) ที่เข้าไปร่วมลงทุนเมื่อปีค..1996
              ไวน์มาการิ  ใช้องุ่นแดงพันธุ์แมร์โล (Merlot) 50 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์คาเบอร์เน่ โซวินยอง (Cabernet sauvignon) และพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) อย่างละ 25 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) 18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 6 เดือน
              ไวน์โปรมิส  ใช้องุ่นแดงพันธุ์แมร์โล (Merlot) 55 เปอร์เซ็นต์ พันธุ์ซีร่าห์ (Syrah) 35 เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์ซานโจเวเซ่ (Sangiovese) 10 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) 18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 6 เดือน

              ไวน์ปาเลโอ (Paleo) และ ไวน์เมสซอริโอ (Messorio)
              เป็นไวน์ซูเปอร์ทัสกัน (SuperTuscans) คู่แฝดจาก บริษัท เล มัคคิโอเล่ (Azienda Agricola Le Macchiole) แห่งตำบลคาสตานเยโต้ คาร์ดุชชิ (Comune di Castagneto Carducci) ของนางชินเซีย คัมโปลมิ (Cinzia Campolmi) ผู้เข้ามาดูแลกิจการหลังจากที่นายยูเจนิโอ คัมโปลมิ (Eugenio Campolmi) ผู้สามี ได้เสียชีวิตในปีค.ศ.2002
              ไวน์ปาเลโอ  ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1989  ใช้องุ่นแดงพันธุ์คาเบอร์เน่ ฟรอง (Cabernet franc) 100 เปอร์เซ็นต์  เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) ใหม่ เป็นเวลา 16 เดือน และเก็บบ่มในขวด 6 เดือน
              ไวน์เมสซอริโอ ผลิตครั้งแรกจากวินเทจ 1994  ใช้องุ่นแดงพันธุ์แมร์โล (Merlot) 100 เปอร์เซ็นต์ เก็บบ่มในถังบาร์ริค (barrique) ใหม่ เป็นเวลา 18 เดือน และเก็บบ่มในขวด 6 เดือน